พพ.เยี่ยม ‘เดลต้า’ นิคมฯบางปู ต้นแบบโรงงานโซลาร์รูฟท็อป
พพ.เยี่ยมชมโครงการระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา หรือ โซลาร์รูฟท็อป ของบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของประเทศ เจาะเทคโนโลยีพลังงานโรงงาน ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า 3.2 เมกะวัตต์ เพื่อจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบการผลิตของโรงงานและทำความเย็น ลดค่าไฟฟ้าได้ 10% ชูเป็นหนึ่งในต้นแบบโรงงานพลังงานสะอาด ร่วมขับเคลื่อนนโยบายโซล่าร์รูฟเสรีตามแผนปฏิรูปด้านพลังงานของประเทศ พร้อมยกระดับการเป็นสมาร์ทแฟคทอรี่ในอนาคต
นายสุรีย์ จรูญศักดิ์ ผู้อำนวยการกองพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า พพ.ได้นำคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่เยี่ยมชมพร้อมศึกษาเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านพลังงานหมุนเวียนที่ประสบความสำเร็จ ของ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบกิจการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์เพาเวอร์ซัพพลายและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ณ โรงงานที่ 5 นิคมอุตสาหกรรมบางปู อ.เมือง จ.สมุทรปราการ โดยบริษัทได้พัฒนาการนำระบบผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์รูฟท็อป เพื่อมาเพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการด้านพลังงานภายในโรงงาน ซึ่งบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการติดตั้งไปแล้วหลายโรงงาน ขนาดกำลังการผลิตรวม 6.3 เมกะวัตต์
นับเป็นต้นแบบของภาคอุตสาหกรรม ที่ให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ที่สอดรับกับนโยบายพลังงานของประเทศในด้านการส่งเสริมการผลิตพลังงานทดแทนในสถานประกอบการ ซึ่งเป็นภาคที่มีการใช้ไฟฟ้าสัดส่วนที่สูง ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเร่งส่งเสริมให้เกิดการนำพลังงานทดแทนไปใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันที่จะนำไปสู่การปรับตัวและยกระดับการเป็นสมาร์ท แฟคทอรี่ (Smart Factory) ที่มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานมาปรับใช้ในการผลิตพลังงานสะอาด รวมถึงยังเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนแผนปฏิรูปประเทศด้านพลังงานและแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) ของกระทรวงพลังงานให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี 2580
“การดำเนินการของเดลต้าถือเป็นเจ้าใหญ่มากที่ติดตั้งโซลาร์รูฟและถือว่าตอบสนองต่อนโยบายของกระทรวงพลังงานทางด้านพลังงานทดแทน โดยเฉพาะด้านพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งตามแผนAEDP ของกรมฯมีเป้าหมายผลักดันถึง 6,000 เมกะวัตต์ ตามแผนเดิมและเวลานี้กำลังปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP 2018) ที่มุ่งนำแสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 10, 000 เมกะวัตต์ โดยในการขับเคลื่อนนโยบายนี้
ภาครัฐพยายามหาแนวทางเรื่องการสนับสนุน โดยเฉพาะในเรื่องกฎระเบียบเพื่อให้ผู้ประกอบการสะดวกที่สุด
ทุกวันนี้พลังงานแสงอาทิตย์ โดยเฉพาะเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ สามารถเดินได้ด้วยกลไกตลาด ซึ่งทุกคนสามารถลงทุนติดตั้งใช้งานเองได้ ในด้านโรงงานจะมีความคุ้มค่าเพราะในช่วงมีแดดสามารถใช้งานได้โดยตรง หลายโรงงานที่ติดตั้งไปแล้วสามารถคืนทุนในเวลาสั้น นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายสนับสนุนโดยผ่าน BOI ลดค่าใช้จ่ายด้านภาษีรายได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งในเวลาอยู่ในช่วงที่สามารถเข้าสู่มาตรการนี้ได้
ทางด้านเดลต้า เป็นไปตามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปพลังงานฯ ที่มองหาผู้ประกอบการที่ติดตั้งประสบความสำเร็จและต้องการให้สื่อมวลชนนำเผยแพร่ทำให้ประชาชนเห็นว่า โซลาร์รูฟ สามารถดำเนินการได้จริงและคุ้มค่าจริง”
ทั้งนี้จากการศึกษาและลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปของบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ พบว่ามีการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ในโรงงานที่ 5 ขนาดกำลังการผลิต 3.2 เมกะวัตต์ จำนวนแผงโซลาร์เซลล์ 18,347 แผ่น บนพื้นที่หลังคากว่า 22,532 ตารางเมตร
สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้มากกว่า 4,675,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ปี คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของการใช้พลังงานทั้งหมด ประหยัดเงินได้มากกว่า 20 ล้านบาทต่อปี ด้วยมูลค่าการลงทุน 125 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถคืนทุนภายใน 6 ปี นับเป็นต้นแบบของเทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียนในการติดตั้งระบบโซลาร์รูฟท็อปขนาดใหญ่ในสถานประกอบการ
ด้านนายปิติสุข จิตเกษม ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจัดการโรงงาน บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า เดลต้าได้เริ่มติดตั้งโซลาร์รูฟมาประมาณ 4ปี ขนาด 6.3 เมกะวัตต์ และจะขยายถึง 7 เมกะวัตต์ในสิ้นปี 2562 นี้ โดยในช่วงแรก ๆ ใช้เวลาเกือบ 9 ปีในการคืนทุน แต่เนื่องจากราคาที่ถูกลง มีการแข่งขันทางการค้าเพิ่มขึ้นและได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเพิ่มขึ้น ทำให้การคืนทุนขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 4-4.5 ปี จากการติดตั้งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ 65 ล้านบาท จากการลงทุนถึงสิ้นปีนี้รวม 245 ล้านบาท