บริษัทชั้นนำเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ คาดโควิดไม่ส่งผลลดขนาดออฟฟิศ-สาขา
บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ JLL ได้จัดทำการสำรวจความคิดเห็นโดยการสัมภาษณ์ผู้บริหาร 200 รายที่ดูแลรับผิดชอบด้านสำนักงาน/สถานที่ประกอบการของบริษัทชั้นนำในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ไทย จีน (รวมฮ่องกง) อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ไต้หวัน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งพบว่า ผู้บริหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังคงมีความมั่นใจในธุรกิจ แม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และคาดด้วยว่า บริษัทของตนจะยังรักษาขนาดออฟฟิศและจำนวนสาขาสำนักงานไว้คงเดิม ผลการสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นด้วยว่า ผู้บริหารเหล่านี้กำลังสร้างจินตนาการใหม่สำหรับสถานที่ทำงานในอนาคต โดยในแผนการลงทุนของบริษัทจะเน้นให้ความสำคัญกับพลานามัยและสุขภาวะที่ดีของพนักงาน และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี
ผู้ร่วมการสำรวจความคิดเห็นส่วนใหญ่พอใจสูงกับแผนสำรองทางธุรกิจในสถานการณ์ฉุกเฉินของบริษัท โดย 88% เห็นว่า แผนของบริษัทมีประสิทธิภาพไปถึงมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง นอกจากนี้ อย่างน้อย 90% เชื่อมั่นว่า แผนของบริษัทด้านการดำเนินการและฟื้นฟูธุรกิจองค์กรจากวิกฤติการณ์โรคระบาดจะประสบความสำเร็จ และ 70% มั่นใจว่า ภาครัฐฯ จะสามารถแนะนำและดำเนินมาตรการต่างๆ สำหรับลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
ผู้ร่วมการสำรวจความเห็นส่วนใหญ่ยังคาดด้วยว่า ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลกระทบไม่มากนักต่อการเพิ่มหรือลดขนาดสถานประกอบการหรือจำนวนสาขาสำนักงาน เว้นแต่ในบางประเทศ อาทิ อินเดียที่คาดว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นในวงกว้างและรวดเร็วมากขึ้น แต่แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกันไป 63% ของผู้ร่วมการสำรวจความเห็นเชื่อว่า บริษัทของตนจะยังคงรักษาขนาดสถานประกอบการหรือจำนวนสาขาสำนักงานไว้เท่าเดิม
นายแอนโธนี เคาส์ ซีอีโอภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของเจแอลแอลกล่าวว่า “ในขณะที่ภาคธุรกิจกำลังปรับตัวรับนิวนอร์มอลที่เกิดขึ้นจากวิกฤติการณ์โรคระบาด ผู้บริหารหรือหัวหน้าทีมงานที่ดูแลรับผิดชอบออฟฟิศ/สถานประกอบการขององค์กร ต่างมองเห็นโอกาสในการกำหนดรูปแบบสำนักงานแห่งโลกอนาคต ซึ่งต้องพิจารณาถึงวิถีใหม่ที่เกิดขึ้นในขณะนี้และวิวัฒนาการของสถานที่ทำงานจะดำเนินต่อไป เชื่อว่า บริษัทต่างๆ จะนำประเด็นเหล่านี้ เข้ามาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจใดๆ ที่เกี่ยวกับสำนักงาน/สถานประกอบการของตนในระยะต่อไป”
หนึ่งในประเด็นที่มีการให้ความสำคัญมากที่สุดจากการสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้ คือ การดูแลพลานามัยและสุขภาวะที่ดีของพนักงาน โดย 58% ของผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นคาดว่า การดูแลพลานามัยและสุขภาวะที่ดีของพนักงาน จะเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนด้านสถานที่ทำงานของบริษัท หมายรวมถึงการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ช่วยให้สถานที่ทำงานสำหรับพนักงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และมีความแออัดน้อยลง ซึ่งเจแอลแอลมีการคาดการณ์แนวโน้มสำคัญๆ ที่จะเกิดขึ้นกับออฟฟิศสำนักงานของบริษัทต่างๆ ดังนี้
- จะมีการให้ความสำคัญกับคุณภาพของออฟฟิศมากขึ้น ซึ่งรวมถึงคุณภาพของอาคารที่บริษัทเลือกใช้เป็นที่ตั้งสำนักงาน
- เพื่อให้สามารถลดความแออัดของพนักงานในออฟฟิศ คาดว่า จะมีการปรับลดที่นั่งทำงานในออฟฟิศลง เพื่อให้พนักงานนั่งทำงานห่างกันได้มากขึ้น โดยอาจใช้นโยบายการแบ่งพนักงานออกเป็นทีมสลับกันเข้าทำงาน การจัดแบ่งกะการเข้าทำงาน ตลอดไปจนถึงการขยายการใช้นโยบายการให้พนักงานบางส่วนทำงานที่บ้านหรือสถานที่อื่นนอกออฟฟิศ
- การให้พนักงานสามารถทำงานจากสถานที่อื่นนอกจากออฟฟิศ (รวมถึงการทำงานที่บ้าน) จะเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในหมู่บริษัทต่างๆ ในขณะที่พนักงานชื่นชอบนโยบายนี้ เนื่องจากมีความยืดหยุ่นและช่วยให้สามารถลดเวลาที่ต้องสูญเสียไปกับการเดินทาง
- สถานที่ทำงานจะไม่ได้หมายถึงเฉพาะออฟฟิศสำนักงานของบริษัท แต่คาดว่าจะมีการผสมผสานของออฟฟิศหลัก ออฟฟิศย่อย รวมถึงการเช่าใช้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซหรือเซอร์วิสออฟฟิศร่วมด้วย
- เทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญที่จะทำให้การทำงานรูปแบบใหม่ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ พนักงานจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้นเมื่อมีเทคโนโลยีพร้อมรองรับ นอกจากนี้ ยังคงสามารถร่วมกันทำงานเป็นทีมได้แม้จะไม่ได้นั่งทำงานรวมอยู่ในสถานที่เดียวกัน ดังนั้น ในอนาคต บริษัทต่างๆ จะยังคงมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับสถานที่ทำงานเพิ่มขึ้น
ด้านนายอลัน ร็อดดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายวิจัยภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของเจแอลแอล กล่าวว่า “โควิด-19 ได้พลิกโฉมรูปแบบสถานที่ทำงานไปในเวลาเพียงชั่วพริบตา รวมถึงวิถีการทำงานทั้งของบริษัทนายจ้างและพนักงาน ดังนั้น ผู้บริหารหรือหัวหน้าทีมที่ดูแลเรื่องสถานที่ทำงานจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ เชื่อว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ออฟฟิศสำนักงานของบริษัทต่างๆ มีวิวัฒนาการขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความยั่งยืน
การสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้ เป็นการสัมภาษณ์ผู้บริหารหรือหัวหน้าทีมที่ดูแลเรื่องสถานที่ทำงานเป็นรายบุคคลในเดือนมิถุนายนปีนี้ โดยผลการสำรวจความคิดเห็นดังกล่าว ได้รับการรับการเปิดเผยในรายงานที่มีชื่อว่า Optimism in the Face of Crisis ซึ่งเจแอลแอลเพิ่งจัดทำเสร็จและนำออกเผยแพร่
สำหรับเจแอลแอลเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลกธุรกิจบริการและบริหารการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ดำเนินธุรกิจในกว่า 80 ประเทศและมีพนักงานทั่วโลกรวมจำนวนทั้งสิ้นกว่า 93,000 คน สำหรับในประเทศไทยเริ่มดำเนินธุรกิจในปี 2533 ปัจจุบันเป็นบริษัทระหว่างประเทศผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้วยพนักงาน 1,600 คน มีอสังหาริมทรัพย์และสถานประกอบการภายใต้การบริหารจัดการคิดเป็นพื้นที่รวมกว่า 6 ล้านตารางเมตร
ขอบคุณภาพประกอบจาก-https://www.jll.co.th