“ฟิทช์ เรทติ้งส์” คงอันดับเครดิต”MTL” ที่ “A-” มีเสถียรภาพแข็งแกร่ง
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (Insurer Financial Strength Rating: IFS Rating) จากฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2564 ที่ ‘A-’หรืออยู่ในระดับ “แข็งแกร่ง” และปรับแนวโน้มความแข็งแกร่งทางการเงินสากลเป็นแนวโน้มมีเสถียรภาพจากแนวโน้มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเป็นลบ
พร้อมกันนี้ ยังได้ปรับแนวโน้มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS Rating) เป็นแนวโน้มมีเสถียรภาพ จากแนวโน้มเป็นลบ และคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศที่ ‘AAA(tha)’ ซึ่งเป็นอันดับเครดิตในระดับประเทศที่สูงที่สุดแล้ว
ทั้งนี้ อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ สะท้อนถึงโครงสร้างธุรกิจประกันชีวิตที่แข็งแรง ระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง และฐานะทางการเงินที่มั่นคงของบริษัทฯ โดยฟิทช์ เรทติ้งส์ ให้ความเห็นว่า การปรับแนวโน้มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเป็นมีเสถียรภาพนั้น สะท้อนถึงความสามารถของบริษัทฯที่สามารถรักษาผลประกอบการให้มีเสถียรภาพและรักษาความแข็งแกร่งของระดับเงินกองทุน เนื่องจากบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับอัตรากำไร และนโยบายการลงทุนที่อยู่ในเกณฑ์ดี โดยฟิทช์ เรทติ้งส์ คาดว่าบริษัทฯ จะมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าผลการประมาณการจากแบบจำลองภายใต้สมมติฐานของฟิทช์ เรทติ้งส์ ในกรณีผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในปี2563 ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานหลักในการปรับแนวโน้มอันดับความเข็งแกร่งทางการเงินเป็นลบในช่วงปีก่อนโดยฟิทช์ เรทติ้งส์ คาดว่าความสามารถในการทำกำไรและระดับเงินกองทุนของบริษัทฯ จะยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินในปัจจุบัน
การคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลและอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศของบริษัทฯ ยังได้สะท้อนถึงโครงสร้างธุรกิจประกันชีวิตและระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง รวมถึงผลประกอบการที่ดีถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงด้านการลงทุนที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยและมีการเติบโตของเบี้ยประกันที่ชะลอตัวลงอย่างไรก็ตาม โครงสร้างธุรกิจประกันชีวิตของบริษัทฯ อยู่ในระดับแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรม บริษัทฯ มีเครือข่ายทางธุรกิจขนาดใหญ่ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดขนาดใหญ่และได้รับการสนับสนุนด้านการดำเนินงานและด้านเทคนิค
จากผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ Ageas Insurance International NV บริษัทฯ ยังมีการกระจายตัวของโครงสร้างธุรกิจที่ดีอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ครอบคลุมฐานลูกค้าภายในประเทศรวมถึงช่องทางการขายที่หลากหลาย
บริษัทฯ สามารถดำรงระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่งซึ่งจะช่วยรองรับผลกระทบจากความเสี่ยงด้านลบได้โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฏหมายที่ 309% ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี2563 นอกจากนี้ บริษัทฯ จะยังคงมีนโยบายลงทุนอย่างระมัดระวังและมีการควบคุมการลงทุนที่ดีอย่างต่อเนื่อง ความเสี่ยงด้านการลงทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนและและตราสารหนี้ภาคเอกชน เพื่อรักษาผลตอบแทนโดยรวม แต่โครงสร้างเงินลงทุนโดยรวมยังคงอยู่ในระดับดี โดยการลงทุนในตราสารหนี้อยู่ที่ระดับ 80% ของเงินลงทุนรวม ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2563 อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีการควบคุมความเสี่ยงของการลงทุนผ่านการกำหนดนโยบายการลงทุนอย่างระมัดระวังและรักษาสมดุลระหว่างผลตอบแทนที่จะได้รับ ความเสี่ยงของการลงทุน และค่าความเสี่ยงของการคำนวณเงินกองทุน อาทิ บริษัทฯ จะลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพที่ดี และมีการกำหนดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ อย่างชัดเจน
นายสาระ กล่าวเสริมว่า เมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมั่นคงแข็งแกร่งมาโดยตลอด เพราะบริษัทฯ อยู่ในธุรกิจการเงิน ความน่าเชื่อถือไว้วางใจที่ผู้บริโภคมีต่อบริษัทฯ นั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการดำเนินงานในปี 2564 เมืองไทยประกันชีวิตมุ่งมั่นในการเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าให้ความวางใจ พร้อมดูแลและเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิต ภายใต้นโยบาย “MTL Trusted Lifetime Partner” ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ ช่องทางการตลาดที่หลากหลาย ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุก Journey ในแบบที่มีความเฉพาะตัวของบุคคล (Personalization) มากยิ่งขึ้น ผ่านแพลตฟอร์ม Digital และ Non-digital ที่สามารถเข้าถึงความต้องการในทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมยกระดับองค์กรสู่ความเป็นสากล และโดดเด่นด้วยภาพลักษณ์องค์กรที่มีความทันสมัย เป็นมืออาชีพ ที่สามารถดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงาน รวมทั้งการเดินหน้าในการพัฒนาบุคลากรให้สามารถรับมือและปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มตัวพร้อมให้ความสำคัญกับการขยายตลาดไปสู่ประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง (Regional Company) และ “ฟิทช์ เรทติ้งส์” ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับนานาชาติ จึงเป็น “คนกลาง” ที่เข้ามาช่วยยืนยันสถานะความมั่นคงแข็งแกร่งของเมืองไทยประกันชีวิตได้เป็นอย่างดี” นายสาระ กล่าว