ผู้ผลิตหลังคาเหล็ก บุกยื่นหนังสือ รมว.พาณิชย์ ทบทวนมาตรการขึ้นภาษีเหล็กส่งผลกระทบอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งระบบ
ผู้ผลิตหลังคาเหล็ก รวมตัวบุกยื่นหนังสือ รมว.พาณิชย์ ทบทวนมาตรการขึ้นภาษีเหล็กส่งผลกระทบอุตสาหกรรมต่อเนื่องทั้งระบบ ขณะที่ อดีตประธานสภาSME วอนรัฐเร่งแก้ปัญหา อย่าโยนปัญหาให้ผู้บริโภคปลายน้ำ
วันที่ 23 พฤษภาคม 2565 มีกลุ่มตัวแทนจากนายกสมาคมการค้าผู้ผลิตหลังคาเหล็กไทยกว่า 60 คน นำโดย นายพันธนวุฒิ ถิ่นคำแบ่ง นายกสมาคมการค้าผู้ผลิตหลังคาเหล็กไทย พร้อมด้วยนายไชยวัฒน์ หาญสมวงศ์ อดีตประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย(SME) ที่ปรึกษาสมาคมการค้าผู้ผลิตหลังคาเหล็กไทย นายศุภชัย แก้วศิริ ประธานสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไทย และนายชวลิต กาญจนาคาร ประธานสมาพันธ์ผู้บริโภคหลังคาเหล็กไทย เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนเพื่อแก้ปัญหาให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ โดยมีนายบุณย์ธีร์ พานิชประไพ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นตัวแทนรับหนังสือของกลุ่มตัวแทนผู้ผลิตหลังคาเหล็กไทย
ทั้งนี้นายพันธนวุฒิ ถิ่นคำแบ่ง นายกสมาคมการค้าผู้ผลิตหลังคาเหล็กไทย เปิดเผยว่า จากมาตรการปกป้องการทุ่มตลาด มีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นกว่า 40% ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่สามารถนำเข้าเหล็กที่เป็นวัตถุดิบสำหรับนำมาผลิตหลังคาเหล็กได้รับผลกระทบอย่างมากจากราคาวัตถุดิบในการนำเข้าจากต่างประเทศที่สูงอย่างมาก ส่งผลให้ ราคาหลังคาเหล็กขยับตังสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกันยังมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องให้หลายสินค้ามีการปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยนำเข้าจากตลาดต่างประเทศ ซึ่งเหล็กเป็นอีกสินค้าที่พึ่งพาตลาดหลักอย่างจีน ซึ่งผลกระทบซ้ำเติมอีก ทางหนึ่ง จนทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อนอย่างหนัก จึงต้องรวมตัวยื่นหนังสือถึง นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ทบทวนมาตรการขึ้นภาษีดังกล่าว
อย่างไรก็ตามขณะนี้กลุ่มผู้ประกอบการ ถือว่าเดือนร้อนมากจากการบังคับใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด หรือ เอดี ที่นำมาใช้ในการปกป้องอุตสาหกรรมผู้ผลิตภายใน เป็นสินค้าเหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียม และสังกะสีแบบจุ่มร้อนแล้วทาสี หรือ พี-พี-จี-แอล (PPGL) และเหล็กแผ่นรีดเย็นชุบ หรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียม และสังกะสีแบบจุ่มร้อน หรือ จี-แอล (GL) จากต่างประเทศมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ขณะนี้สินค้าเริ่มขาดแคลน และราคาพุ่งสูงขึ้น เพราะมีการจัดเก็บภาษีเอดี โดยเฉพาะแหล่งกำเนิดจากประเทศจีน ในอัตราสูงถึง 40.77%
ซึ่งข้อเท็จจริง แม้มาตรการเอดี จะมีผลตั้งแต่ปี 2564 และได้รับการขยายระยะเวลา เก็บภาษีอัตรา 0% ออกไป 2 ครั้ง รวม 1 ปี จนถึงเดือนเมษายน 2565 แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นอยู่แล้วจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และยังเจอมาตรการเอดี ทำให้ยิ่งกระทบหนัก เพราะผู้นำเข้าไม่สามารถสู้ราคานำเข้าได้แล้ว และผู้ผลิตโรงรีดหลังคา ก็ไม่มีสินค้ามาผลิต และต่อไปอาจจะไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ โดยขณะนี้ สต๊อกในประเทศ สินค้าหลายรายการ เริ่มหาซื้อไม่ได้แล้ว
สำหรับโรงงานผู้ประกอบการโรงรีดหลังคาใน ไทย มีกว่า 1,600 โรงงาน ที่ใช้วัตถุเหล็กหลังคาประมาณ 120,000 – 140,000 ตันต่อเดือน ไม่สอดคล้องกับการอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กในประเทศ ที่ทำได้เพียง 28,000 – 30,000 ตันต่อเดือนเท่านั้นจึงเรียกร้องให้คณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน ทบทวนการขยายระยะเวลา หรือ ยกเลิก การบังคับใช้มาตรการเอดี และในระหว่างการพิจารณาทบทวนนั้น ขอให้เรียกเก็บภาษี 0% ไปก่อน เพราะขณะนี้ช่องทางตลาดในประเทศอื่นนอกจากจีน ก็ถูกเรียกเก็บภาษีเอดีเช่นเดียวกันในอัตราที่แตกต่างกันไป
ทั้งนี้ ภาครัฐควรมีความชัดเจนในการพิจารณามาตรการนี้ เพื่อให้กระทบทุกภาคส่วน รวมถึงผู้บริโภคให้น้อยที่สุด ซึ่งตามมาตรา 7 ของ พรบ. การตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ ได้กำหนดให้พิจารณาใช้มาตรการโดยคำนึงถึงอุตสาหกรรมภายใน ผู้บริโภค และประโยชน์ของสาธารณะ จึงต้องพิจารณาว่าการเรียกเก็บภาษีนี้เป็นธรรมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และหากยังไม่มีการตอบรับจากกระทรวงพาณิชย์เพื่อแก้ไข สมาชิกจะบุกไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
ด้านนายไชยวัฒน์ หาญสมวงศ์ อดีตประธานสภาเอสเอ็มอี ย้ำว่าผู้ประกอบการเห็นด้วยกับมาตรการเอดี เพื่อดูแลอุตสาหกรรมในประเทศ แต่ต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริง เพราะความต้องการใช้ ยังสวนทางกับกำลังการผลิต ที่ยังมีส่วนต่างจำนวนมาก จึงมีการตั้งคำถามว่าทำไมภาครัฐไม่เร่งสนับสนุนอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ เพื่อขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอ และลดต้นทุนให้ใกล้เคียงกับการนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะการขึ้นภาษีเอดีนี้ ส่งปลกระทบอย่างมากกับผู้ประกอบการและสุดท้ายก็จะมีการโยนภาระไปให้กับประชาชนที่ต้องซื้อสินค้าแพงเช่นเดิม