ETDAเปิดตลาดอีคอมเมิร์ซไทย
คาดปี58แตะ2.1ล้านล้านบาท
ETDA เปิดผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2558 พบว่า ในปี 2557 มูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรืออีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ไทยมีมูลค่ากว่า 2.03 ล้านล้านบาท คาดปี 2558 เติบโตต่อเนื่อง 3.65% มูลค่าสูงถึง 2.1 ล้านล้านบาท กลุ่มบริการที่พักและท่องเที่ยวนำโด่งทั้งปี 57-58 เทียบกับชาติอื่น ไทยมีมูลค่าตลาดe-commerce สูงสุดในอาเซียน ตามด้วยมาเลเซียและสิงคโปร์
สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ทำการสำรวจครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติมูลค่าอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยให้มีความครอบคลุมและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมถึงให้หน่วยงานภาครัฐและองค์กรธุรกิจสามารถนำผลการสำรวจไปใช้ประกอบการวางนโยบายและแผนเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้สามารถปรับตัวสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพทางธุรกิจของผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน และเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนนโยบายดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือ Digital Economy ของรัฐบาล
นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการ ETDA เปิดเผยว่า “การสำรวจมูลค่าอีคอมเมิร์ซมีความสำคัญ เพราะองค์กรภาคเอกชนสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนธุรกิจและแผนการตลาด เพื่อที่จะปรับตัวได้ทันในการก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ขณะที่ภาครัฐก็สามารถที่จะกำหนดนโยบายส่งเสริมได้อย่างเหมาะสม ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่ผู้นำธุรกิจต่อการตัดสินใจลงทุนในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ทาง ETDA ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้มาตลอด จึงทำการสำรวจข้อมูลดังกล่าวอย่างครอบคลุมทุกกลุ่มอุตสาหกรรมเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และเชื่อมั่นว่าข้อมูลสนับสนุนที่ดีจะมีส่วนสำคัญในการผลักดันให้อีคอมเมิร์ซของประเทศเติบโตขึ้นทัดเทียมประเทศอื่น ๆ ได้”
ทั้งนี้ ETDA ดำเนินการสำรวจมูลค่าอีคอมเมิร์ซจากกลุ่มตัวอย่างของผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการจำนวนรวมทั้งสิ้น 502,676 ราย โดยดำเนินการเป็นเวลา 7 เดือน เริ่มจัดเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนเมษายน – ตุลาคม 2558 เพื่อสำรวจมูลค่า อีคอมเมิร์ซในปี 2557 พร้อมทั้งศึกษาและคาดการณ์มูลค่าในปี 2558
ในการศึกษามีการเก็บรวบรวมข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ 1) การสำรวจด้วยแบบสอบถามออนไลน์ (Online Survey) จากกลุ่มผู้ประกอบการที่มีมูลค่าการขายออนไลน์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 50 ล้านบาทต่อปี และ 2) การสัมภาษณ์เชิงลึก (Face to Face Interview) กับกลุ่มผู้ประกอบการมีมูลค่าการขายออนไลน์มากกว่า 50 ล้านบาทต่อปี โดยได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงอนุมาน จัดแบ่งหรือแสดงผลออกมาเป็น 8 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ 1. การผลิต 2. การค้าปลีกและการค้าส่ง 3. การขนส่ง 4. การให้บริการที่พัก 5. ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร 6. การประกันภัย 7.ศิลปะ ความบันเทิง และนันทนาการ 8. กิจการบริการด้านอื่น ๆ
ผลที่ได้พบว่า ปี 2557 ประเทศไทยมีมูลค่าอีคอมเมิร์ซ รวมทั้งสิ้น 2,033,493.4 ล้านบาท เป็นมูลค่าขายจากผู้ประกอบการ B2B จำนวน 1,234,226.18 ล้านบาท (60.69 %) ผู้ประกอบการ B2C จำนวน 411,715.41 ล้านบาท (20.25 %) และผู้ประกอบการ B2G จำนวน 387,551.76 ล้านบาท (19.06 %)
ในส่วนของมูลค่าขายจากผู้ประกอบการ B2G จะมาจากมูลค่าที่ได้จากการสำรวจซึ่งเกิดจากผู้ประกอบการขายออนไลน์กับภาครัฐโดยตรง ไม่ผ่านวิธีการประมูลงานผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของภาครัฐ (e-Auction)จำนวน 7,496.30 ล้านบาท (0.37 %) อีกส่วนหนึ่งจะมาจากมูลค่าที่ได้จากการจัดซื้อจัดจ้างโดย e-Auction ที่ได้ข้อมูลจากกรมบัญชีกลาง จำนวน 380,055.46 ล้านบาท (18.69 %)
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่า E-Commerce ในปี 2557 มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หมวดอุตสาหกรรมการให้บริการที่พัก 630,159.13 ล้านบาท (38.1%) หมวดอุตสาหกรรมการผลิต 440,614.78 ล้านบาท (26.6%) และ หมวดอุตสาหกรรมข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร 264,863.87 ล้านบาท (16.02%)
ส่วนแนวโน้มมูลค่าอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ปี 2558 พบว่า เติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยคาดว่ามีมูลค่าทั้งสิ้น 2,107,692.88 ล้านบาท แบ่งเป็นมูลค่าขายจากผู้ประกอบการ B2B จำนวน 1,230,160.23 ล้านบาท (58.32 %) มูลค่าขายจากผู้ประกอบการ B2C จำนวน 474,648.91 ล้านบาท (22.57 %) และมูลค่าขายจากผู้ประกอบการ B2G จำนวน402,883.74 ล้านบาท (19.11 %)
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการคาดการณ์มูลค่าในปี 2558 มากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ หมวดอุตสาหกรรมการให้บริการที่พักและอาหาร 658,909.76 ล้านบาท (38.4 %) หมวดอุตสาหกรรมการผลิต 350,286.83 ล้านบาท (20.4 %)และหมวดอุตสาหกรรมการค้าปลีกและการค้าส่ง 325,077.48 ล้านบาท (19.0 %)
ทั้งนี้ จากการศึกษาและการวิเคราะห์ข้อมูลข้างต้น พบว่า มูลค่าอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย (รวมมูลค่าการจัดซื้อจัดจ้างออนไลน์ของหน่วยงานภาครัฐ) มีแนวโน้มการเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น โดยในปี 2558 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2557 คิดเป็น 3.65 % โดยมูลค่าขายจากผู้ประกอบการ B2C ในปี 2558 เติบโตเพิ่มขึ้นจาก ปี2557 คิดเป็น 15.29 % และมูลค่าขายจากผู้ประกอบการ B2G ในปี 2558 เติบโตเพิ่มขึ้นจาก ปี2557 คิดเป็น 3.96% แต่มีเพียงมูลค่าขายจากผู้ประกอบการ B2B ในปี 2558 ที่หดตัวลงจาก ปี2557 เพียงเล็กน้อย คิดเป็น 0.34 % ทำให้ตลาดอีคอมเมิร์ซยังคงเป็นธุรกิจที่น่าจับตามอง โดยมีผู้สนใจลงทุน ค้าขาย รวมถึงใช้บริการในปริมาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นางสุรางคณายังเปิดเผยด้วยว่า จากการเปรียบเทียบไทยกับประเทศอื่นพบว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมีมูลค่าสูงสุดในอาเซียน ที่ 11.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามด้วยมาเลเซียมีมูลค่า 9.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 3.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับสิงคโปร์ โดยแนวโน้มกลุ่มบริการห้องพักและท่องเที่ยวยังสดใส ซึ่งผลสำรวจพบนำโด่งทั้งในปี 2557 และ 2558
นอกจากนี้อุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโตในธุรกิจอีคอมเมิร์ซได้แก่ เกม ที่ในปี 2558 เติบโต 39.14% และภาพยนตร์ โต 29.10% ซึ่งประชาชนในยุคปัจจุบันมีการชมภาพยนตร์ผ่านแทบเล็ตและมือถือมากขึ้น ทำให้วิตกกังวลกันว่า โรงภาพยนตร์จะซบเซาลงหรือไม่ อย่างไรก็ตามชาวต่างประเทศชอบโรงภาพยนตร์ของไทย ในขณะเดียวกันยังพบว่า ผู้ทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซส่วนใหญ่ไม่มีหน้าร้าน โดยมีอยู่ถึง 78.36% ส่วนธุรกิจกลุ่มค้าปลีกค้าส่งในปัจจุบันหันมาทำการค้าออนไลน์เป็นหลักหรือมีมากถึง 93.3% มีเพียง 6.7% ที่ทำออฟไลน์
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของธุรกิจเพื่อเข้าสู่อีคอมเมิร์ซมีหลายอย่างด้วยกัน อาทิ ภายในองค์กรขาดบุคลากรมีทักษะที่จะมาดูแลด้านอีคอมเมิร์ซ การต้นทุนในการขนส่งสูง ศูนย์กระจายสินค้ามีน้อย ค่าใช้จ่ายด้นฮาร์ดแวรืและซอฟต์แวร์ที่สูง ความกังวลเรื่องภาษี อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตยังน้อยแม้ว่าจะมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นจำนวนมาก อีกทั้งสัญญาณไม่เสถียร นอกเหนือจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกอื่นๆที่อยู่นอกเหนือการควบคุม