ความหวัง “การแพทย์พลังงาน”
แนะ “ฝึกชี่กง” ช่วยเปลี่ยนชีวิต
“ชี่กง” ศาสตร์โบราณที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมายาวนานกว่า 3,000 ปี เป็นวิธีเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงด้วยการฝึกจิตและลมหายใจ ฝึกพลังภายในและความคิดกำหนดจิตไปพร้อมกัน และเป็นวิชาที่ได้รับการยอมรับในหมู่ชาวจีน “เจนนี่” ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เปิดใจ ค้นพบศาสตร์การแพทย์พลังงานจากการฝึกชี่กงโดยไม่คาดคิดว่าจะทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไป อาการฮอร์โมนผิดปกติที่อยู่กับเธอมาร่วม 10 ปีหายไป เหมือนชีวิตได้พบแสงสว่าง
นางสาวหทัยทิพย์ จันทรประภาเลิศ หรือที่เพื่อนๆ เรียกเธอว่า “เจนนี่” เป็นผู้หญิงทำงานธรรมดาคนหนึ่ง ในตำแหน่งผู้จัดการธุรกิจ บริษัท จีดีซีแกรนด์ไดมอน จำกัด เธอได้ถ่ายทอดประสบการณ์ อาการต่อมไร้ท่อทำงานไม่ปกติ มาร่วม 10 ปี ที่อยู่กับเธอมา ทำให้เธอมีอาการรอบเดือนมาไม่ปกติ มีอาการปวดศีรษะ ตัวซีด อ่อนเพลีย นอนหลับได้แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ภาวะมวลกระดูกไม่ปกติ
เธอเล่าว่า เมื่อตัวเองไม่ปกติ ได้เที่ยวไปพบแพทย์ตามสถานพยาบาลต่างๆ ที่ไหนที่มีใครบอกว่าดีไปมาหมด ตรวจละเอียดตั้งแต่การอัลตราซาวด์ เจาะเลือดเพื่อตรวจระดับฮอร์โมนรวมถึงเช็คลึกเข้าไปถึงระดับ DNA แพทย์ระบุไม่พบว่าเกิดจากสาเหตุอะไร การวินิจฉัยของแพทย์ที่ไปหาระบุเพียงว่า เครียดสะสม เซลล์ไข่มาไม่ครบตั้งแต่ตอนปฏิสนธิ หรือต่อมไร้ท่อไม่ทำงาน รักษาด้วยการรับประทานยามายาวนานร่วม 10 ปี ซึ่งเป็นปมชีวิตของเธอมาตลอด
จนกระทั่งปลายปี 2014 ทางคุณแม่และน้องสาวของเธอก็อยากให้ลองเปลี่ยนคุณหมอในการรักษาเพราะเชื่อว่า วงการแพทย์เก่งเผื่อจะมีแนวทางการรักษาใหม่ ๆ ที่ทำให้หายขาดได้ ซึ่งตอนแรกตัวเธอเองก็ไม่ค่อยเชื่อเพราะคิดว่า คุณหมอที่รักษาอยู่ในปัจจุบันเป็นคนที่รู้อาการเธอดีที่สุดแล้วใจหนึ่งเริ่มท้อแท้และหมดหวังที่จะต่อสู้และคิดว่าไม่มีทางที่จะรักษาอาการผิดปกตินี้ให้หายได้ แต่ด้วยกำลังใจของคุณแม่และน้องสาวก็ทำให้เธอลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง
น้องสาวจึงได้นัดคุณหมอท่านหนึ่งในทีมแพทย์เป็นสถานพยาบาลอีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียง ซึ่งคุณหมอได้เจาะเลือดวินิจฉัยเหมือนเดิมคือหาสาเหตุไม่พบ มีเพียงผลตรวจเลือดยืนยันภาวะฮอร์โมนผิดปกติไม่สมดุล แต่คุณหมอท่านที่ 2 ท่านรู้เกี่ยวกับเรื่องศาสตร์การแพทย์พลังงาน ท่านเมตตากล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “คุณอาจจะต้องเปิดจุดในร่างกาย” โดยแนะนำให้ไปพบอาจารย์หยาง เผยเซิน และลองไปฝึกวิชาชี่กงดู
ในขณะนั้นเมื่อได้ยินว่า “วิชาชี่กง” เธอแทบไม่รู้จักเลย ว่าชี่กงคืออะไร เป็นการออกกำลังกายแบบไหน เข้าใจไปเองว่า น่าจะเหมือนกับโยคะ และไทเก็ก และอีกอย่างเธอไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้เลย นั่งสมาธิก็นั่งนานไม่ได้ หายใจไม่ออก พูดถึงแพทย์แผนจีนก็ยิ่งห่างไกลมาก
หลังจากนั้น อีกหนึ่งเดือนก็ได้กลับไปหาคุณหมอท่านนั้นอีก ครั้งนี้คุณหมอพูดจริงจังตรง ๆ ว่า คุณรู้มั้ยยิ่งคุณไปพบอาจารย์หยางเร็วขึ้นเท่าไรโอกาสที่คุณจะหายก็เร็วขึ้นเท่านั้น จากคำพูดนั้นสะกิดใจ “ชี่กง” คงจะต้องมีอะไรสักอย่าง จึงได้รีบติดต่อมายังคณาเวชคลินิกเพื่อพบกับอาจารย์หยาง
ความหวังใหม่กับการแพทย์พลังงานจากการฝึกชี่กง
“เจนนี่” เล่าว่า เมื่อตัดสินใจมาพบอาจารย์หยาง เผยเซิน ที่คณาเวชคลินิกการแพทย์แผนไทย ตอนนั้นชีวิตเหมือนมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งและพูดกับตัวเองว่าครั้งนี้ฉันจะพยายามทำทุกทางอย่างดีที่สุด ฉันจะไม่ยอมละเลยอย่างที่ผ่านมา ถึงแม้ไม่หายฉันก็จะไม่เสียใจเลย เพราะเชื่อว่าได้พยายามทำทุกทางอย่างดีที่สุดแล้วจริง ๆ
อาจารย์ได้ดูอาการเบื้องต้น และได้ฝังเข็มให้ ต่อมาได้รับคำแนะนำให้เรียนศาสตร์ชี่กงโบราณ เป็นการออกกำลังกายควบคู่กับการกำหนดจิต โดยเรียนชี่กงขั้นที่ 1 เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2557 และเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์ชี่กง ในขั้นที่สูงขึ้น คือ ศึกษาทฤษฎีเสี่ยวโจวเทียน คือ การนั่งสมาธิแบบเดินลมปราณ ซึ่งตอนแรกที่ได้ฟังเกี่ยวกับทฤษฎีคิดว่าสนใจ และคิดว่าเงินที่จ่ายไปถ้าทำให้เราหายคิดว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม แต่เมื่อได้เข้ามาเรียนศาสตร์ชี่กงอย่างลึกซึ้งแล้วพบว่า ไม่ใช่คุ้มหรือไม่คุ้มแล้ว แต่ของหรือสิ่งบางอย่างมีเงินก็ซื้อไม่ได้โดยเฉพาะสุขภาพ
เมื่อฝึกศาสตร์ชี่กงไประยะหนึ่ง อาจารย์หยางได้สอนทฤษฎีเสี่ยวโจวเทียน ในช่วงเดือนเมษายน 2557 ซึ่งใจตอนนั้น มุ่งมั่น และศรัทธาที่จะฝึกฝน ฝึกเรื่อยมาประมาณ 4-6 สัปดาห์ อยู่มาวันหนึ่ง เมื่ออาจารย์ได้ส่งพลังให้มีความมั่นใจว่า สามารถรับพลังงานบางอย่างได้โดยอาจารย์บอกว่าเป็นสนามแม่เหล็กจักรวาลซึ่งครั้งแรกที่สัมผัสได้เก้าอี้สั่น และขณะที่ฝึกรู้สึกว่ามีช่องอากาศเล็ก ๆ วิ่งเข้าไปในหัวใจรู้สึกได้เลยว่าหัวใจหายใจได้ด้วย
วินาทีนั้นรู้สึกว่าตัวเองมีความหวัง สามารถสัมผัสคลื่นพลังงานตามทฤษฎีเสี่ยวโจวเทียนได้จริง มีอาการพลังหมุนเป็นวงโคจรทั่วร่างกายซึ่งคิดว่าพลังที่ไปหมุนในร่างกาย และการเปิดจุดต่าง ๆ ทำให้ร่างกายค่อย ๆ เริ่มบำบัดลึกเข้าไปแต่ละชั้น ๆ จนถึงไขกระดูก และจุดกลางสมองซึ่งคือ ต่อมไพเนียลซึ่งเป็นการบำบัดที่สาเหตุจริง ๆ ปัจจุบันอาการปวดศีรษะปวดตามข้อกระดูกหายไปอย่างสิ้นเชิง รอบเดือนค่อย ๆ กลับมาโดยไม่ต้องทานยาเหมือนเมื่อก่อน หน้าผากและกะโหลกศีรษะรู้สึกอ่อนนุ่มลงเหมือนเด็ก ผิวพรรณก็ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด โดยไม่ต้องทานอาหารเสริม เลเซอร์หรือทรีดเม้นต์
“ทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ดี ๆ ที่อยากจะแบ่งปันให้กับใครบางคนหรืออีกหลาย ๆ คน ที่ยังรอคอยความหวัง ไม่รู้ว่าจะต้องรักษากับใครที่ไหน อย่างไร หมดหนทาง หรือโรคที่วงการแพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถหาสาเหตุและรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากอวัยวะภายในหลายอย่างในร่างกายทำงานนอกเหนือจากคำสั่งของจิตสำนึกไปที่สมอง ซึ่งศาสตร์การแพทย์พลังงานชี่กงก็ยังเป็นความหวัง และอาจจะให้คำตอบกับคุณได้ เหมือนกับที่ตัวเองได้กลับมามีชีวิตที่มีความหวัง และทุก ๆ วันของชีวิตมีค่าขึ้นมาอีกครั้ง”
ศาสตร์ชี่กงบำบัด แพทย์พลังงานสมัยใหม่
อาจารย์หยาง เผยเซิน ผู้อำนวยการศูนย์ธรรมชาติบำบัดอาจารย์หยาง กล่าวว่า การถ่ายทอดวิชาลมปราณเสี่ยวโจวเทียนแก่ศิษย์ และผู้ที่มาฝึกเริ่มต้นอาจารย์จะทำการถ่ายทอดด้วยคำพูดถึงความเป็นมาของทฤษฎีก่อน ไม่มีตำราให้อ่าน เมื่อผู้ที่มาฝึกมีความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีเบื้องต้นแล้ว จึงเริ่มทำการสอน พื้นฐานคือ ให้นั่งสมาธิเคลื่อนไหว เมื่อผู้ฝึกเปิดใจรับมีความมุ่งมั่นศรัทธาในทฤษฎีแล้ว จากนั้นอาจารย์จะค่อย ๆ ส่งพลังให้ เพื่อไปเปิดจักระตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อให้ผู้ที่ฝึกได้รับพลัง ซึ่งเป็นคลื่นสนามพลังงานงานแม่เหล็กจักรวาล เมื่อผู้ฝึกเปิดรับพลังงานได้ร่างกายจะเริ่มบำบัดทีละขั้นตามอาการหนักเบา
การออกกำลังกายและฝึกชี่กงธรรมดานั้นมีผลเพียงลดการสูญเสียหยวนชี่ (พลังชีวิต) และชะลอความชราได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถทำให้พลังชีวิตที่ร่างกายสูญเสียกลับคืนมาใหม่ได้ มีแต่การฝึกวิชาเสี่ยวโจวเทียนเท่านั้นที่สามารถ “ฟื้นฟูสู่วัยหนุ่มสาว” ได้เพราะหลังจากฝึกทะลุทะลวงเส้นลมปราณแล้วจะมีการฝึกฝนต่อจนถึงขั้นตอนการกำเนิดยา 100 ครั้ง สามารถฝึกให้พลังชีวิตที่สูญเสียกลับคืนมา อีกทั้งยังมีผลทำให้อายุดูอ่อนกว่าวัย อีกด้วย
เสี่ยวโจวเทียนนับว่า เป็นวิชาเสริมสุขภาพร่างกายบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ และบำเพ็ญตนบำรุงจิตแขนงหนึ่งของประเทศจีน ที่ตกทอดมาเป็นเวลาหลายพันปี แต่การถ่ายทอดนั้นจะกระทำโดยตัวของอาจารย์เองกับศิษย์เพียงลำพังแบบตัวต่อตัวเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันวงการวิทยาศาสตร์ให้การยอมรับศาสตร์ชี่กงเป็นการแพทย์พลังงานที่เน้นการปรับร่างกาย การปรับลมหายใจ และการปรับจิตใจ