สวทช. จับมือพันธมิตรร่วมจัดตั้งเครือข่าย TCCA

สวทช. จับมือพันธมิตรร่วมจัดตั้งเครือข่าย TCCAหนุนเทคโนโลยี CCUS ขับเคลื่อนไทยสู่ความยั่งยืน

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม 2568 สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และหน่วยงานพันธมิตร ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือโครงการจัดตั้งภาคีเครือข่ายพันธมิตรด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Alliance, TCCA) เพื่อขับเคลื่อนเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในประเทศ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยี CCUS ของไทยในเวทีโลก สู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนอย่างยั่งยืน ณ โรงแรมโนโวเทล ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ห้องนครรังสิต 1-3

ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายสำคัญของทุกภาคส่วน
ทั้งภาครัฐ อุตสาหกรรม และวงการวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญของประเทศ สวทช. ในฐานะหน่วยงานภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งครอบคลุมไปถึงการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศที่เหมาะสมกับการพัฒนาเทคโนโลยีสู่การนำไปใช้จริงในอุตสาหกรรม
การจัดตั้ง Thailand CCUS Alliance (TCCA) จะเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (CCUS) ในประเทศไทยอย่างก้าวกระโดด


โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคนและสถาบันอุดมศึกษา การวิจัย และการสร้างนวัตกรรม (บพค.) โดย สวทช. มอบหมายให้ ศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินการขับเคลื่อนร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และเครือข่ายพันธมิตร การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ตามกลยุทธ์ “การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน (S&T Implementation for Sustainable Thailand)” ของ สวทช. ด้วยเชื่อว่า CCUS จะไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ยังจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมไทยในการแข่งขันระดับสากล นำมาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต
ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สวทช. กล่าวว่า โครงการภาคีเครือข่ายพันธมิตร ด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอนแห่งประเทศไทย (Thailand CCUS Alliance; TCCA) มีเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนเทคโนโลยี CCUS สู่การใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย โดย TCCA มุ่งเน้นการสร้างศูนย์กลางสำหรับการบูรณาการองค์ความรู้ เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม เพื่อผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและนโยบายที่เอื้อต่อการใช้เทคโนโลยี CCUS ในการลดการปล่อยคาร์บอนให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Carbon Neutrality ของประเทศ การรวมตัวเป็นเครือข่ายระดับประเทศ เช่น TCCA จะช่วยให้ทุกภาคส่วนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนการลงทุน ลดระยะเวลาดำเนินงาน ลดความซ้ำซ้อนของงานวิจัย และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงทุนสนับสนุนขนาดใหญ่จากระดับนานาชาติ ทำให้สามารถยกระดับความพร้อมของเทคโนโลยีสู่การใช้งานจริง และสร้างประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ

ดร. ขจรศักดิ์ เฟื่องนวกิจ หัวหน้าโครงการ TCCA กล่าวว่า โครงการ TCCA ภายใต้การสนับสนุนของ บพค. ตามแผนงานมีระยะเวลา 3 ปี (2567-2569) ปัจจุบันอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของโครงการปีที่ 1 ซึ่งเราสามารถผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่มภาคีเครือข่ายขึ้นมาแล้วอย่างเป็นทางการ ตามจุดประสงค์ของโครงการ และนำมาซึ่งการลงนาม MOU ร่วมกันในวันนี้ สำหรับปีที่ 2 จะเป็นการสร้างกลไกการทำงาน กำหนดบทบาทหน้าที่ และตั้งเป้าหมายที่เข้มแข็งเชิงปฏิบัติที่วัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ โดยดำเนินงานผ่านคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาวิจัย เราจะใช้เวที TCCA เป็นสื่อกลางในการหารือและผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยี CCUS ในทุกมิติ ทั้งในแง่ของการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเราเอง การผลักดันกฎระเบียบและนโยบายเพื่อปลดล็อกการพัฒนาเทคโนโลยี การสร้างแรงจูงใจที่จะนำไปสู่การลงทุน และการสร้างและยกระดับทักษะของกำลังคนให้พร้อมกับอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะเป็น New S-curve ของประเทศไทยในอนาคต ในปีที่ 3 ของโครงการ มีเป้าหมายในการพัฒนาโครงการระดับชาติร่วมกันระหว่างสมาชิก เพื่อหางบลงทุนที่จะนำไปสู่การพัฒนาโครงการนำร่อง (Demonstration project) ของเทคโนโลยี CCUS ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย
ดร. พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) กล่าวว่า ประเทศไทยมีแผนจะส่งเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ (NDC 3.0) ในปี 2568 ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบของแต่ละประเทศในการรับมือกับวิกฤตสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งภายในปี พ.ศ. 2573 โลกต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส และบรรลุการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ในช่วงกลางศตวรรษ โดยเป้าหมายใหม่ของ NDC 3.0 ที่จะต้องเข้มข้นขึ้นจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าโลกสามารถลดการปล่อยก๊าซได้ทันหรือไม่ สำหรับยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ หรือ LT-LEDS ในสาขาพลังงาน ได้กำหนดให้ต้องมีการนำ CCUS / BECCS เข้ามามีบทบาท ภายในปี ค.ศ. 2040 และ NDC Action plan ได้บรรจุมาตรการและค่าเป้าหมายการลด GHGs รายปี ในสาขาพลังงาน ของกลุ่มที่ 3 โครงการนำร่อง CCS ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ โดยมีค่าเป้าหมายในปี ค.ศ. 2027 – 2030 อยู่ที่ 0.25, 1.0, 1.0, 1.0 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี (MtCO2/y) ตามลำดับ นอกจากนี้ ผลการศึกษา CCUS Roadmap ของ สกสว. ระบุความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยี CCUS ที่มีบทบาทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี ค.ศ. 2050 อยู่ที่ 50-150 ล้านตันต่อปี (Mtpa) ซึ่งจะทำให้ CCUS เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่สามารถนำพาประเทศไทยเข้าใกล้ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้เร็วยิ่งขึ้น


“การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการพัฒนากลไกสนับสนุนที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการภาษีและการสนับสนุนด้านการเงินผ่านกองทุนต่างๆ รวมทั้งเงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ อย่างไรก็ตามกรณีเงินสนับสนุนนั้นมีแนวโน้มที่จะสามารถบรรจุอยู่ในกรณีการขอรับการสนับสนุนจากต่างประเทศ หรือ Conditional เพื่อให้เจ้าของแหล่งเงินทุนในต่างประเทศ เล็งเห็นความสำคัญและความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนเพราะผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นส่งผลกระทบทั้งต่อเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของประชาชน อีกทั้งการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความท้าทาย ทุกภาคส่วนจึงต้องร่วมมือกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแนวทางที่ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง” ดร. พิรุณชี้
คุณนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า CCUS
มีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม โดยจะช่วยลดต้นทุนภาษีคาร์บอนและค่าปรับ เนื่องจากเทคโนโลยี CCUS ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้บริษัทสามารถหลีกเลี่ยงภาษีคาร์บอนและค่าปรับจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินกำหนด รวมทั้งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยอุตสาหกรรมที่ใช้ CCUS จะได้รับการยอมรับในตลาดโลก โดยเฉพาะจากประเทศที่มีมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เช่น สหภาพยุโรป รวมถึงสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 30-40% ภายในปี 2030 และ CCUS เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการบรรลุเป้าหมายนี้ โดยการนำ CCUS มาใช้สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติและสร้างโอกาสในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การผลิตเชื้อเพลิงสังเคราะห์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

รศ.ดร. สุพฤทธิ์ ตั้งพฤทธิ์กุล หัวหน้าศูนย์วิจัยการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน TCCA ใน 2 ด้านหลัก คือ งานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศและการพัฒนาบุคลากรทักษะสูง ในด้านการวิจัย มช. เป็นสถาบันวิจัยหลักที่ขับเคลื่อนงานวิจัยด้านการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีความเชี่ยวชาญให้มีความโดดเด่นมากขึ้น เพื่อผลักดันอุตสาหกรรมการสำรวจและกักเก็บคาร์บอนของไทยให้เกิดขึ้นได้ พร้อมกับการยอมรับจากสังคม และมีส่วนสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายของประเทศด้วยเทคโนโลยี CCUS นอกจากนี้ มช. ยังร่วมกับสถาบันวิจัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนางานวิจัยและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ควบคู่ไปกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่น โดยเฉพาะด้านกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และกลไกทางการเงิน ผ่านการให้ความเห็นทางวิชาการเกี่ยวกับเทคโนโลยี CCUS ในด้านการพัฒนาบุคลากรทักษะสูง ในฐานะสถาบันอุดมศึกษา มช. มีพันธกิจสำคัญในการสร้างบุคลากรทักษะสูงให้กับประเทศ โดยควรมีบทบาทนำในการเป็นศูนย์กลางความรู้เทคโนโลยี CCUS มีกระบวนวิชาและหลักสูตรรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐ โดยเฉพาะการ Re-skill และ Up-skill รวมถึงการจัดการเรียนการสอนแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต
“ความร่วมมือนี้จะเป็นรากฐานสำคัญของการเชื่อมโยงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ภาควิชาการวิจัย เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเชื่อมต่อเครือข่ายระดับนานาชาติ เกิดเป็นภาพใหญ่ระดับประเทศ คือ กลุ่มพันธมิตรระดับประเทศจะมีศักยภาพในการเข้าถึงทุนขนาดใหญ่ระดับนานาชาติมากขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับความพร้อมทางเทคโนโลยีไปสู่ภาคปฏิบัติ (Implementation) เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์(Net zero) ของประเทศ สุดท้ายปลายทาง เราจะสามารถมุ่งเป้าสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการส่งออก แทนที่จะมุ่งเป้าเพียงการลดการนำเข้าเทคโนโลยีในอนาคตอันใกล้” ผู้อำนวยการ สวทช. ทิ้งท้าย