กลุ่มCIMB 9เดือนโต 2.9 %
กำไรสุทธิ 2,024 ล้านริงกิต
กลุ่มซีไอเอ็มบีประกาศรายได้จากการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2558 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.4 % มีกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2558 เพิ่มขึ้น 2.9 % สืบเนื่องจากรายได้จากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น และสำรองหนี้สูญที่ลดลง (ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้าง) ขณะที่โครงการบริหารค่าใช้จ่ายของกลุ่มฯเริ่มเห็นผลลัพธ์ในไตรมาส 3 สินเชื่อกลุ่มฯ เติบโตจากปีก่อน 7 % และเงินฝากเติบโต 10.0 %
เต็งกู ดาโต๊ะ ซาฟรูล์ เต็งกู อับดุล อาซิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มซีไอเอ็มบี ได้เปิดเผยถึง ซีไอเอ็มบี กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เบอร์ฮาด (“กลุ่มซีไอเอ็มบี”) มีกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 2558 จำนวน 2,024 ล้านริงกิต โดยมีกำไรต่อหุ้น 23.9 เซ็น และหากไม่รวมรายการพิเศษค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้าง และโครงการ Mutual Separation Scheme (MSS) ทางกลุ่มฯ จะมีรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.4 % โดยสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ดี
ทั้งนี้ กลุ่มซีไอเอ็มบี ฯ มีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยสุทธิจากการดำเนินธุรกิจปกติคำนวณเป็นอัตราส่วนเต็มปีที่ร้อยละ 8.8 โดยในไตรมาส 3 ปี 2558 กลุ่มฯ มีกำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจปกติที่ 902 ล้านริงกิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 2.9
“กลุ่มฯ มีผลประกอบการที่ดีขึ้นในแต่ละไตรมาส แม้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความท้าทายทางเศรษฐกิจ ย้ำให้เห็นถึงความสำเร็จในการทบทวนแผนธุรกิจและการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างจริงจังของกลุ่ม ซึ่งจะเห็นได้จากรายได้จากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 8.4 และความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา “เต็งกรู ดาโต๊ะ ซาฟรูล์ กล่าว
นอกจากนี้สำหรับแผนปรับการบริหารค่าใช้จ่ายเชิงโครงสร้างโดยปรับปรุงการดำเนินธุรกิจวาณิชธนกิจนอกภูมิภาคอาเซียน และโครงการ MSS ในมาเลเซียและอินโดนีเซียแล้ว ทางกลุ่มฯ ยังได้ปรับปรุงกระบวนการต่างๆ และเพิ่มการใช้งานระบบเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยกลุ่มฯจะดำเนินการผลักดันการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องต่อไป และในส่วนของหน่วยงานธุรกิจ เราได้เห็นผลลัพธ์ตามที่คาดหวังจากกลยุทธ์ธุรกิจที่วางไว้โดยกลุ่มฯ ได้รับการตอบรับที่ดีในการดำเนินธุรกิจลูกค้าผู้บริโภคและลูกค้าพาณิชย์จากทั่วทั้งภูมิภาค
เต็งกรู ดาโต๊ะ ซาฟรูล์ ยังกล่าวอีกว่า ในปี 2558 นับเป็นปีที่ท้าทายสำหรับธุรกิจทางการเงิน การดำเนินธุรกิจในมาเลเซียของกลุ่มมีผลประกอบการที่น่าพึงพอใจ แม้จะประสบกับสภาวะยากลำบากบ้างอย่างไรก็ตาม กลุ่มฯ ตระหนักดีว่าเศรษฐกิจจะยังเติบโตได้ไม่มากนักและการใช้จ่ายของผู้บริโภคภายในประเทศจะยังคงหดตัวสำหรับธุรกิจในประเทศสิงคโปร์ แม้จะมีมาตรการกำกับดูแลธุรกิจนี้อย่างเข้มงวด ทางกลุ่มฯ ยังคงรักษาอัตราการเติบโตได้ดี โดยอาศัยระบบธุรกิจที่มีการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไนอาก้า มีพลวัตรในการเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยต้องเน้นด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่อไปในส่วนของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยยังคงเป็นเรื่องท้าทายจากสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบันอย่างไรก็ตามกลุ่มฯ ยังคงให้การสนับสนุนแก่ซีไอเอ็มบี ไทย ตามแผนกลยุทธ์ระยะยาวต่อไป
“เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา กลุ่มซีไอเอ็มบี ได้ริเริ่มแผนทบทวนเป้าและเกณฑ์ต่างๆ สำหรับ3 ปีข้างหน้า หรือT18Recalibration ซึ่งส่งผลให้กลุ่มฯ มีสถานะที่มีศักยภาพ ทั้งในแง่ของการปรับเชิงโครงสร้างและการบริหารค่าใช้จ่าย เพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่จะผ่านเข้ามาแม้ว่ากลุ่มฯยังคงต้องติดตามวัดผลของกลยุทธ์การเติบโตท่ามกลางสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจและตลาดทุนของภูมิภาคที่อ่อนแอลง กลุ่มฯ เชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ T18 จะยังคงสามารถช่วยสร้างผลลัพธ์ตามที่กำหนดไว้ได้” เต็งกู ซาฟรูล์ กล่าวในที่สุด