“ออมสิน” จับมือตลท.ตั้งกองทุน
ร่วมทุนSMEs กองแรก500ล้าน
ธนาคารออมสินเดินหน้าตามนโยบายรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือและดูแลธุรกิจ SMEs อย่างต่อเนื่อง จัดตั้งกองทุนร่วมลงทุน SMEs Private Equity Trust Fund วงเงินรวม ไม่เกิน 2,000 ล้านบาท นำร่องลงนามความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)จัดตั้งกองทุนที่1 วงเงิน 500 ล้านบาท เน้นลงทุน 4 กลุ่มเป้าหมาย ร่วมทุนพัฒนาช่วยเหลือ SMEs และมีแผนร่วมลงทุนกับสถาบันอื่นๆเพิ่มเพื่อจัดตั้งกองทุนให้ครบเป้าหมาย 2,000 ล้านบาท
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสินเปิดเผยว่า ตามดำริของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล โดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบหมายธนาคารออมสิน ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เพิ่มเติมมากขึ้นให้สามารถมีแหล่งทุน ที่ดูแลกิจการและหมุนเวียนได้อย่างราบรื่น เป็นไปอย่างแข็งแกร่ง มั่นคง และยั่งยืนนั้น นอกเหนือจากการให้วงเงินกู้ภายใต้ “โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟท์โลน) เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs” แล้ว ล่าสุดธนาคารออมสิน ได้ดำเนินมาตรการสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเชิงบูรณาการ ด้วยการจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ “SMEs Private Equity Trust Fund” วงเงินรวมไม่เกิน 2,000 ล้านบาท
ทั้งนี้เบื้องต้นร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)จัดตั้งกองทุนที่ 1 ขึ้นโดยตลท.ร่วมลงทุน 100 ล้านบาทและธนาคารออมสิน 400 ล้าน และธนาคารฯ มีแผนที่จะร่วมลงทุนกับนักลงทุนและสถาบันอื่นๆ เพื่อจัดตั้งกองทุนจนครบตามเป้าหมาย 2,000 ล้านบาท ต่อไป
กองทุนดังกล่าวมีกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม คือ 1.SMEs ระยะเริ่มต้น (Start – up Stage) ที่มีศักยภาพสูง 2.SMEs ที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยเฉพาะที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่มีประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ 3.SMEs ที่เป็น Supplier ธุรกิจภาครัฐและภาคเอกชนขนาดใหญ่ หรือเป็นสมาชิกของสภาหอการค้าไทย หรือหน่วยงานภาครัฐ และ 4.SMEs ที่เป็นกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) โดยกำหนดนโยบายการลงทุนใน SMEs ระยะเริ่มต้น (Start – up Stage) ที่มีศักยภาพสูงไม่เกินรายละ 10 ล้านบาท ส่วน SMEs ขนาดย่อม ขนาดกลาง วงเงินลงทุนรายละไม่เกิน 50 ล้านบาท เพื่อช่วยให้ SMEs ต่อยอดพัฒนาศักยภาพของตนเองให้เข้มแข็งและประสบความสำเร็จ หรือเติบโตสามารถเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้ โดยมีผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญเป็นพี่เลี้ยง ซึ่งมีระยะเวลาโครงการ 5 ปี แต่สามารถขยายต่อไปได้อีก 5 ปี
“รัฐบาลเล็งเห็นว่าควรต้องช่วยเหลือหากทุกฝ่ายช่วยกันโอบอุ้มภาคSMEs จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจของประเทศได้รับผลดีตามไปด้วย ครั้งนี้เป็นอีกมิติด้านการลงทุนที่ได้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มาร่วมผลักดัน ขณะที่ธนาคารออมสินซึ่งมีเครือข่ายสาขากว่า 1,000 แห่ง เป็นศักยภาพที่จะเข้าถึงผู้ประกอบการได้มาก นอกเหนือจากการให้สินเชื่อปกติของธนาคารฯ เพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รวมถึงการจัดโครงการอีกมากมายเพื่อกระตุ้นการพัฒนาในภาคธุรกิจนี้ อาทิ โครงการสุดยอดแนวคิดธุรกิจวิถีไทย ฯลฯ” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าว
ด้านนางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ความสำคัญและพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการสร้างความแข็งแกร่งให้กับ SMEs ธุรกิจ Start-up และกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) สอดคล้องกับแผนงานสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการเตรียมความพร้อมและส่งเสริม ให้ธุรกิจดังกล่าวได้ใช้ประโยชน์จากตลาดทุนเพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจ
“ที่ผ่านมามีธุรกิจกลางและขนาดย่อมเข้ามาจดทะเบียนและระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai แล้ว 122 บริษัท ซึ่งมี 21 บริษัทย้ายไปอยู่ตลาดใหญ่แล้ว คิดเป็นมูลค่าการระดมทุนประมาณ 77,000 ล้านบาท ความร่วมมือกับธนาคารออมสินในครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศไทยผ่านผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งมีจำนวนมากและมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย”
อนึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้ผู้อำนวยการธนาคารออมสินได้ร่วมลงนามบันทึก “ความร่วมมือสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ โดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้งสู่เศรษฐกิจฐานรากที่ยั่งยืน ตามแนวทางประชารัฐ” ระหว่างผู้แทนองค์กรชุมชน หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานภาคเอกชน ซึ่งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดพิธีลงนามดังกล่าวขึ้นเพื่อสนับสนุนให้เกิดช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรและสินค้าในท้องถิ่น รวมทั้งเพื่อตอกย้ำทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากโดยการสนับสนุนให้เกิดแผนงานพัฒนาเศรษฐกิจและทุนชุมชน การสร้างพื้นที่รูปธรรมระดับตำบล และคลัสเตอร์อย่างชัดเจน โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนาม ณ ห้องประชุมแพลนนารี่ ฮอลล์ 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันพุธ(13ม.ค.59)