ผ่าตัดรักษา “โรคอ้วน”
นวัตกรรมรักษาสมัยใหม่
อ้วน หรือผู้ที่มีภาวะที่มีไขมันสะสมในร่างกายมากเกินปกติและกำลังเป็นปัญหาทางสังคมไทย เนื่องจากความอ้วนเป็นที่มาของโรคเรื้อรังอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย อาทิ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงและโรคไขมันในเลือดสูง ทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูง ดังข้อมูลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ครั้งที่4 ปี พ.ศ. 2552 จากสำนักงานสถิติแห่งชาติพบความสูญเสียเป็นมูลค่ากว่า 12,142 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.13 ของ GDP ทั้งการขาดงาน ค่าใช้จ่ายจ่ายในการรักษาและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ทั้งนี้ “ความอ้วน” เกิดจากร่างกายสะสะสมอาหารส่วนเกินไว้ในรูปไขมัน โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น ประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงเป็นประจำ ขาดการออกกำลังกาย ภาวะที่ร่างกายเผาพลาญพลังงานน้อย กรรมพันธุ์และอีกหลายสาเหตุ
ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติได้รายงานผลการสำรวจในปี พ.ศ. 2550 พบว่า ในกลุ่มประชากรอายุ 11 ปีขึ้นไป ซึ่งมีทั้งหมด 55 ล้านคน กำลังประสบปัญหาภาวะโรคอ้วน น้ำหนักเกินมาตรฐานประมาณ 10 ล้านคน ติดอันดับ 5 ใน 14 ประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก และผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทย ครั้งที่4 ปี พ.ศ. 2552 พบว่า มีผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนสูงถึง ร้อยละ 36.5 (1)
นอกจากนี้ยังพบว่า ความอ้วนมีผลเสียทำให้เกิดโรคเรื้อรังอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคข้อเข่าเสื่อม ภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับ เป็นต้น ซึ่งโรคเรื้อรังเหล่านี้จำเป็นต้องให้การรักษาอย่างต่อเนื่อง เพราะมีผลต่อคุณภาพชีวิตและความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมาก ซึ่งคาดการณ์ว่า ในปัจจุบันต้นทุนรวมต่อสังคมของภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนมีมูลค่าสูงกว่า 12,142 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.13 ของ GDP โดยแยกเป็นต้นทุนทางตรงจากค่ารักษาพยาบาลมีมูลค่าประมาณ 5,584 ล้านบาท ในขณะที่ต้นทุนทางอ้อมจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและการขาดงานมีมูลค่ารวม 6,358 ล้านบาท (2)
อ.นพ.กำธร ยลสุริยันวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริม ป้องกันและดูแลรักษาโรคอ้วนอย่างจริงจังและได้จัดตั้งทีมดูแลส่งเสริมป้องกันและรักษาโรคอ้วนขึ้น โดยมีทีมแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ สหสาขา ช่วยเหลือดูแลอย่างครบวงจรแบบองค์รวม ซึ่งประกอบด้วย ศัลยแพทย์ผ่าตัดโรคอ้วน ศัลยแพทย์ตกแต่ง อายุรแพทย์หน่วยต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม วิสัญญีแพทย์ จิตแพทย์ โสตศอนาสิกแพทย์ พยาบาล ทีมงานโภชนาการ ทีมงานสิทธิประโยชน์ผู้ป่วย และทีมงานกายภาพบำบัด ซึ่งปัจจุบันโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถาบันชั้นนำของประเทศในการรักษาโรคอ้วนอย่างครบวงจร จนถึงปัจจุบันมีผู้มารับคำปรึกษาแล้วมากกว่า 300 รายต่อปี และมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาโดยการผ่าตัดไปแล้วกว่า 100 ราย
“อย่ามองว่า เรื่องของความอ้วนเป็นเรื่องเล็ก ส่วนมากจะมองเพียงว่าความอ้วนนั้น ก่อให้เกิดปัญหาด้านรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงโรคอ้วนเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านกระดูกและข้อ เช่น โรคเก๊าท์ ปวดเข่า ปวดขา หรือปัญหาเกี่ยวกับน้ำตาลและไขมันในเส้นเลือดสูง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือ โรคเบาหวาน และในบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้” อ.นพ.กำธร กล่าว
อ.นพ.กำธร กล่าวว่า นิยามของภาวะอ้วนนั้น ในทางการแพทย์ส่วนใหญ่จะมีการแบ่งระยะของความอ้วนในหลายระดับด้วยกัน โดยมักอ้างอิงจากตัวเลขค่าหนึ่งที่เรียกว่า ค่าดัชนีมวลกาย หรือ ค่า Body Mass Index (BMI) โดยคำนวณได้จากสูตร ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) = น้ำหนัก (กิโลกรัม; kg) / ส่วนสูง2(เมตร2; m2)
ส่วนใหญ่แพทย์จะนิยามความอ้วนระดับที่ 1 เมื่อค่าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 30 สำหรับระดับที่ 2 เมื่อค่าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 35 และระดับที่ 3 เมื่อค่าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 40
หากกล่าวถึงระดับความอ้วนที่อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ ก็จะมีผลกระทบตั้งแต่เริ่มมีภาวะน้ำหนักเกินแล้ว โดยหากค่าดัชนีมวลกายมากกว่า 25 ควรปฏิบัติตนโดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะถ้าดัชนีมวลกายมากกว่าหรือเท่ากับ 30 ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้สูง จึงควรปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดและควรเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์หรือนักโภชนาการร่วมกัน
ในขั้นแรกของการรักษา แพทย์และนักโภชนาการจะพยายามให้คนไข้ลดน้ำหนักด้วยตนเองเป็นลำดับแรก ซึ่งแพทย์จะให้เวลาผู้ป่วยควบคุมน้ำหนักด้วยตนเองอย่างน้อย 6 เดือน และจะไม่แนะนำให้คนไข้หักโหมลดน้ำหนักหรือใช้ยาลดความอ้วนเด็ดขาด แม้จะช่วยลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มิได้เป็นผลดีต่อสุขภาพแต่อย่างใด เนื่องจากน้ำหนักที่ลดลงไปอย่างรวดเร็ว จะเป็นการสูญเสียน้ำมากกว่าการสลายไขมัน ซึ่งจะส่งผลให้สุขภาพของผู้ป่วยแย่ลงไปด้วย และที่สำคัญเมื่อหยุดยา น้ำหนักก็จะกลับเพิ่มขึ้นมาเป็นทวีคูณ การลดน้ำหนักที่ถูกวิธี ต้องลดอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีหลักสำคัญอยู่ 2 ประการ คือ “การควบคุมอาหาร” และ “การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม” แพทย์จะติดตามผลเป็นระยะเพื่อควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมไม่กลับมาอ้วนอีก
แต่หากผู้ป่วยลดน้ำหนักด้วยวิธีการควบคุมอาหารและออกกำลังกายไม่สำเร็จ จะมีทางเลือกทางอื่น ๆ อาทิ การผ่าตัดในการรักษาโรคอ้วน ซึ่งมีหลักการสำคัญง่าย ๆ คือทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ร่างกายดูดซึมพลังงานจากอาหารได้น้อยลง ให้ร่างกายจำเป็นต้องนำไขมันส่วนเกินออกมาใช้ เพื่อเป็นพลังงานแก่ร่างกายให้เพียงพอ
การผ่าตัดสามารถทำได้หลัก ๆ 3 วิธี ได้แก่ 1. การผ่าตัดรัดกระเพาะอาหาร โดยนำห่วงมารัดกระเพาะอาหารส่วนต้นให้อาหารผ่านเข้าสู่กระเพาะได้ช้าลง จะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น ทานอาหารได้น้อยลง คนไข้จะค่อย ๆ ผอมลง 2. การผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร คือการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะให้เหลือเพียงท่อขนาดเล็ก ทำให้คนไข้อิ่มเร็วขึ้น ทั้งยังช่วยลดฮอร์โมนกระตุ้นความหิว และ 3. การบายพาสลัดทางเดินอาหาร หรือการตัดต่อลำไส้ ทำโดยการตัดกระเพาะอาหารส่วนต้นมาต่อเข้าโดยตรงกับลำไส้เล็กเลย ทำให้อาหารลัดผ่านกระเพาะอาหารไปย่อยที่ลำไส้เล็กส่วนล่าง ร่างกายจึงดูดซับพลังงานจากอาหารได้น้อยลง ช่วยให้นำไขมันส่วนเกินออกมาใช้เป็นพลังงานแก่ร่างกายได้เร็วขึ้น
แม้ว่าการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคอ้วน จะดูค่อนข้างน่ากลัว แต่การผ่าตัดทั้งหมดสามารถทำได้โดยการส่องกล้อง ไม่จำเป็นต้องเปิดแผลกว้างเหมือนการผ่าตัดทั่วไป และการผ่าตัดดังกล่าวนั้น มีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนและเสียชีวิตน้อยมาก
แต่อย่างไรก็ตามการลดความอ้วนด้วยวิธีการธรรมชาติ ยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนัก ซึ่งนอกจากจะไม่ต้องกังวลกับภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตัดแล้ว การลดน้ำหนักด้วยตนเอง ยังเป็นการเสริมสร้างวินัย และยังช่วยให้สุขภาพกาย สุขภาพจิตแข็งแรงอีกด้วย
สำหรับประชาชนผู้สนใจทั่วไป ที่มีปัญหาเรื่องโรคอ้วน ภาควิชาศัลยศาสตร์ อายุรศาสตร์ จิตเวชศาสตร์ หน่วยโภชนาการ และหน่วยกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เตรียมจัดงานสัมมนาให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเรื่องโรคอ้วนแก่บุคลากร แกนนำชุมชน ผู้ป่วยโรคอ้วน ผู้ที่มีความเสี่ยงโรคอ้วนและประชาชนที่สนใจทั่วไป ในหัวข้อ “สุดสัปดาห์สู้ภัยอ้วน ครั้งที่ 1” ในวันเสาร์ที่ 23 เมษายน 2559 ตั้งแต่เวลา 08.30 -16.30 น. ณ ห้องทองจันทร์ หงส์ลดารมภ์ อาคารเรียนรวมฯ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ภายในงานมีการจัดบรรยายในหัวข้อต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ การบรรยายเรื่อง “อาหารโรคอ้วน…รู้หมดแต่อดไม่ได้” โดยทีมงานโภชนากร , “อารมณ์…สำคัญไฉน” โดย นพ.วรุตม์ อุ่นจิตสกุล ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และบรรยายเรื่อง “ผ่าตัดรักษาโรคอ้วน ปลอดภัยกว่าที่คิด” โดย นพ.กำธร ยลสุริยันวงศ์ และนพ.สิริพงศ์ ชีวธนาภรณ์กุล ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย อาทิ กิจกรรมเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ “ทำเองได้…ง่ายกว่าที่คิด” หรือกิจกรรม เรื่อง “ออกมายืดเส้นกันเถอะ” โดยทีมกายภาพบำบัด ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ในวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2559 เป็นกิจกรรมสันทนาการ ณ สวนสัตว์สงขลา โดยเริ่มนัดหมายที่บริเวณสวนสาธารณะ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ในเวลา 06.30 – 08.00 น. หลังจากนั้นเป็นกิจกรรมสันทนาการ พร้อมสอดแทรกความรู้ และระดมความคิดเห็นสำหรับบุคลากรสาธารณสุข
การจัดงานในครั้งนี้ผู้สนใจ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงาน โดยมีค่าใช้จ่ายท่านละ 300 บาท ติดต่อสอบถามรายละเอียด ได้ที่หน่วยการจัดการประชุม อาคารเรียนรวมและหอสมุดฯ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์โทรศัพท์ 074-451-147 หรืออีเมล meeting@medicine.psu.ac.th
สำหรับผู้สนใจปรึกษาเรื่องโรคอ้วน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ คลินิกศัลยกรรมโรคอ้วน โทรศัพท์ 074- 451-760 -1 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00-16.30 น. และวันเสาร์ เวลา 9.00-12.00 น.
เอกสารอ้างอิง
(1) วิชัย เอกพลากร (บรรณาธิการ). รายงานการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้ง ที่ 4 พ.ศ. 2551-2552.นนทบุรี: สำนักงานสำรวจสุขภาพประชาชนไทย / สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข; 2553.
(2) มนทรัตม์ ถาวรเจริญทรัพย์, และคณะ. การศึกษาผลกระทบในเชิงเศรษฐศาสตร์และคุณภาพชีวิตจากโรคอ้วนใน ประเทศไทย. 2554,โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ: นนทบุรี.