เอสซีจีQ1ปี59 กำไรเพิ่ม23%
จากธุรกิจเคมีภัณฑ์-HVA โต
เอสซีจีเปิดผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 59 มีกำไรเพิ่มขึ้น 23% เทียบกับไตรมาส1 ปี58 เหตุผลดำเนินงานดีขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ซึ่งโตขึ้น 85% และ 10% ตามลำดับเทียบกับไตรมาส1 ปีก่อน ขณะยอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม(HVA) เพิ่มขึ้นเป็น 39% ของยอดขายรวม ตลาดซีเมนต์ในประเทศโต 5% โดยเฉพาะเซกเมนต์ตลาดภาครัฐโต20% ด้านที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ยังทรงตัว คาดติดลบที่ราว 3-5% ทั้งปี อย่างไรก็ดีมุ่งเน้นพัฒนา HVA ที่สร้างผลกำไรเหนือกว่าสินค้าอื่น 5-10%และมุ่งลงทุนในอาเซียนต่อเนื่อง
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เอสซีจีและนายเชาวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การเงินแะการลงทุน เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจีในไตรมาสที่ 1 ประจำปี 2559 มีรายได้จากการขาย 109,998 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน และใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด 13,619 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจเคมีภัณฑ์ และธุรกิจบรรจุภัณฑ์
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการส่งออก 29,570 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 27 ของยอดขายรวม ลดลงร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุเนื่องจากราคาสินค้าลดลง เช่น ปิโตรเคมีราคาลดลง ผลจากราคาน้ำมันลดลง แต่ปริมาณส่งออกไม่ได้ลด นอกจากนี้โรงงานผลิตซีเมนต์ในอินโดนีเซียผลิตได้แล้ว ทำให้ยอดขายในอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น ยอดขายในไทยลดลง
สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ในไตรมาสที่ 1 ปี 2559 เอสซีจี มีรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนและจากการส่งออกไปยังอาเซียน 24,396 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากปีก่อน ทั้งนี้ เป็นรายได้จากธุรกิจที่มีฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียน 12,586 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้จากการส่งออกไปยังอาเซียน 11,810 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 11 ของรายได้รวม ลดลงร้อยละ 14 จากปีก่อน ทั้งนี้ เอสซีจี มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน นอกเหนือจากประเทศไทย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 มูลค่า 110,491 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 21 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท โดยสินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2559 มีมูลค่า 520,603 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 ปี 2559 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 1 ปี 2559 มีรายได้จากการขาย 45,880 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 3,290 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในทุกตลาด
ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 1 ตลาดซิเมนต์ในไทยเติบโต 5% โดยในเซกเมนต์โครงการลงทุนภาครัฐเติบโตมากที่สุดที่ 20% ขณะที่ ตลาดที่อยู่อาศัยหดตัว ติดลบ2% ส่วนตลาดอาคารพาณิชย์ไม่โตอยู่ที่ 0% เท่าไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา คาดตลอดทั้งปี 2559 ธุรกิจซิเมนต์โตที่ 3-5% โดยขึ้นอยู่กับความสามารถในการผลักดันโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ช่วยกระตุ้นการใช้ซิเมนต์ได้หรือไม่ ซึ่งการใช้ซีเมนต์ในไทยอยู่ที่ประมาณ 40 ล้านตันต่อปี
เอสซีจี เคมิคอลส์ ในไตรมาสที่ 1 ในปี 2559 มีรายได้จากการขาย 47,810 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 9,111 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 85 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลประกอบการธุรกิจร่วมปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง
เอสซีจี แพคเกจจิ้ง ในไตรมาสที่ 1 ในปี 2559 มีรายได้จากการขาย 18,847 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสำหรับงวด 1,255 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 43 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการบริหารจัดการต้นทุนและผลประกอบการที่ดีขึ้นของกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์
นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า “จากการที่เอสซีจีได้ทุ่มเทพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) มาโดยตลอด ทั้งที่เป็นการค้นคว้าวิจัยโดยทีมงานเอสซีจีเอง และการร่วมมือกับสถาบันวิจัยชั้นนำของไทย และระดับโลก ในไตรมาสที่ 1 ปี 2559 เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม 42,262 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 จากปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 39 ของยอดขายรวมจาก 37% ของยอดขายรวมในปีที่แล้ว โดยใช้งบประมาณงานวิจัยและพัฒนากว่า 900 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 คิดเป็นร้อยละ 0.8 ของยอดขายรวม สำหรับแผนงานในปี 2559 เอสซีจีได้ตั้งงบประมาณงานวิจัยและพัฒนา คิดเป็นร้อยละ 1 ของยอดขายรวม”
นอกจากนี้ เอสซีจีได้มุ่งพัฒนาทีมงานวิจัยให้สามารถคิดค้นนวัตกรรมสินค้า และบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการ ความหลากหลายของผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคต อาทิ Dissolving Pulp ของเอสซีจี แพคเกจจิ้ง สำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอ และอุตสาหกรรมเมลามีนคอมพาวด์ ที่ได้รับการยอมรับจากตลาดโลกอย่างดียิ่ง และนวัตกรรมเม็ดพลาสติกสำหรับท่อทนแรงดันสูงเกรด PE 100 ของเอสซีจี เคมิคอลส์ สำหรับระบบขนส่งน้ำ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ โดยได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐานสากลจากองค์กรระดับโลก
นวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัย อาทิ ผลิตภัณฑ์เพื่อผู้สูงวัย (SCG Eldercare Solution) ผนังสำเร็จรูปที่สร้างลวดลายบนพื้นผิวได้ ช่วยทดแทนแรงงานก่อสร้างที่ขาดแคลน และนวัตกรรมปูนซีเมนต์สูตรพิเศษที่ใช้เทคโนโลยีการผลิต 3D printing ในการผลิตซิเมนต์รูปแบบใหม่ ซึ่งกำลังจัดแสดงในงานสถาปนิก ’59 รวมถึงความร่วมมือกับสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมต่างๆ ล่าสุดได้ร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดศูนย์วิจัย “SCG-CHULA Engineering Research Center” เพื่อค้นคว้าและพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และบรรจุภัณฑ์
สำหรับในภูมิภาคอาเซียนมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยการลงทุนของเอสซีจีมีความคืบหน้าตามแผน โรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศอินโดนีเซีย และกัมพูชา ขณะนี้เริ่มผลิตสินค้าแล้ว ในปี 2559 นี้คาดว่าจะเห็นยอดขาย ส่วนโรงงานปูนซีเมนต์ในประเทศเมียนมา และสปป.ลาว คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2559 และกลางปี 2560 ตามลำดับ ซึ่งโครงการลงทุนเหล่านี้ ถือเป็นส่วนสำคัญในการขยายตัวของเอสซีจีในอาเซียน
จากเหตุดังกล่าวคาดว่า จะทำให้กำลังการผลิตซิเมนต์ของเอสซีจีโดยรวมเพิ่มขึ้น จากเดิม 25 ล้านตัน มีสัดส่วนการผลิตในไทย 23 ล้านตัน จะมีการผลิตเพิ่มในต่างประเทศอีกราว 6 ล้านตัน รวมกำลังการผลิตมากกว่า 30 ล้านตัน
ทั้งนี้ เอสซีจียังคงขยายการลงทุน โดยการให้ความสำคัญในการหาพันธมิตรที่ดำเนินธุรกิจเดิมอยู่แล้ว เพื่อพัฒนาธุรกิจให้เจริญเติบโตร่วมกันต่อไป โดยในปี 2559 นี้เอสซีจีตั้งงบด้านการควบรวมและซื้อกิจการ(M&A) ไว้ประมาณ 50,000 ล้านบาท ในไตรมาสแรกเป็นไปตามแผนที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท