ในยามที่สภาพอากาศร้อนๆเช่นนี้ เชื่อว่าทุกคนย่อมกระหายน้ำเป็นพิเศษ ซึ่งน้ำนั้นเป็นสิ่งที่ร่างกายของคนเราขาดน้ำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญ และมีความจำเป็นต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายเป็นอย่างมาก ในการดำเนินชีวิตของคนเรานอกเหนือจากการดื่มน้ำเพื่อแก้กระหายและให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว การดื่มน้ำเพื่อบรรเทาหรือรักษาโรคภัยไข้เจ็บก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อการดำรงค์ชีวิตในยุคปัจจุบัน
มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้คิดค้นและรวบรวมสูตรน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเลือกดื่มน้ำที่มีประโยชน์และมากสรรพคุณ ไม่ว่าจะเป็นน้ำสมุนไพรล้างพิษ น้ำสมุนไพรบำรุงกำลัง หรือน้ำสมุนไพรป้องกันและรักษาโรค ซึ่งทั้งหมดล้วนได้มาจากสมุนไพรพื้นบ้านใกล้ตัวของไทย อย่าง รางจืด บัวบก ขมิ้น ฯลฯ วันนี้นำสูตรทำน้ำสมุนไพร 3 สูตร ง่ายๆ แต่มากไปด้วยคุณประโยชน์มาฝากกัน
เริ่มต้นด้วย น้ำสมุนไพรรางจืด สุดยอดสรรพคุณล้างพิษ
คนไทยมีการใช้ประโยชน์จาก “รางจืด” ในด้านการใช้เป็นยาแก้พิษมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นพิษยาเบื่อ ยาสั่ง ยาฆ่าแมลง พืชพิษ เห็ดพิษ รวมไปถึงพิษสุราและยาเสพติด พิษงู แมลงป่องหรือตะขาบ และปัจจุบันยังได้มีการวิจัยพบว่า “รางจืด” มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านไวรัสโรคเริม และมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในระดับที่สูงมาก
มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จึงนำ “รางจืด” มาผลิตเป็นยาชงสมุนไพรผสมรางจืดขึ้น เพื่อให้สะดวกในการนำมาชงรับประทาน แก้พิษ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ซึ่งสามารถช่วยขับพิษทั้งภายในและภายนอกร่างกายได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังมีวิธีการทำน้ำรางจืดแบบง่ายๆ แต่มากด้วยสรรพคุณ คือ
นำใบรางจืดแบบสด จำนวน 5 – 7 ใบ ล้างให้สะอาด ใส่ต้มกับน้ำสะอาด จำนวน 1,500 ซีซี หรือประมาณ 1 กา ต้มจนเดือด และตามด้วยการต้มด้วยไฟอ่อน ๆ อีก 10 นาที อาจผสมใบเตยหอม น้ำตาลหรือใบหญ้าหวานเล็กน้อยเพื่อแต่งกลิ่นและเพื่มรสชาติตามใจชอบ สามารถดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น โดยใช้ดื่มครั้งละ 1 แก้ว (จำนวน 250 ซีซี) วันละ 4 – 5 ครั้ง หรือเมื่อมีอาการ แต่อย่างไรก็ตาม “รางจืด” ทางแพทย์แผนไทยใช้เป็นยาซึ่งมีสรรพคุณช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย หากรับประทานมากเกินไปก็อาจทำให้ร่างการเกิดความเย็นมากเกินไปได้เช่นกัน
น้ำใบบัวบก บำรุงความจำ แก้ช้ำใน
ตำราไทย กล่าวว่า “บัวบก” เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ท้องเสีย หรือบิด แก้ลม แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า เป็นยาบำรุงกำลัง และเป็นยาอายุวัฒนะ โดยปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยพบว่า “บัวบก” มีฤทธิ์เช่นเดียวกับ แป๊ะก๊วย ในการบำรุงสมอง ช่วยเพิ่มความสามารถความจำและการเรียนรู้ ส่วนการศึกษาในระดับเซลถึงกลไกการออกฤทธิ์บำรุงสชมองพบว่าบัวบกทำให้การหายใจในระดับเซลของสมองดีขึ้น ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการเสื่อมของเซลสมอง คงสภาพปริมาณของสารสื่อประสาท acetylcholine ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมองเสริมฤทธิ์การทำงานของสาร GABA ซึ่งเป็นสารสื่อประสาททำให้รักษาสมดุลของจิตใจ ทำให้ผ่อนคลาย และหลับได้ง่าย นอกจากนี้บัวบกยังทำให้หลอดเลือดมีความแข็งแรงและสามารถนำเลือดไปเลี้ยงในอวัยวะต่างๆได้ดีขึ้นอีกด้วย
การรับประทาน “น้ำใบบัวบก” นอกจากจะมีสรรพคุณแก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ช้ำในหรือการฟกช้ำตามที่ทราบกันดีแล้วนั้น น้ำใบบัวบกยังช่วยลดอาการปวดศีรษะข้างเดียว บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย แก้เมื่อยล้า แก้ความดันโลหิตสูง หากดื่มทุกวันเพียง 1 สัปดาห์ จะช่วยลดอาการความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็ง ลดการอักเสบและรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยในการไหลเวียนของโลหิต เพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปเลี้ยงเซลล์สมองมากขึ้น ทำให้ชะลอความเสื่อมของเซลล์สมอง และช่วยขับปัสสาวะ นอกจากนี้ยังมีคุณค่าทางอาหาร คือ มีวิตามินเอสูง แคลเซียมสูง และมีวิตามินบี 1 สูงกว่าผักหลาย ๆ ชนิดอีกด้วย
ส่วนการทำน้ำใบบัวบกมีขั้นตอนง่ายๆ คือ นำใบบัวบกที่หั่นแล้ว 10 กรัม ตะไคร้หั่น 5 กรัม มาต้มในน้ำ 1 ลิตร ด้วยไฟอ่อนให้เหลือน้ำครึ่งลิตร จากนั้นนำไปใส่เครื่องปั่น เติมน้ำครึ่งหนึ่ง ปั่นให้ละเอียด และกรองเอาแต่น้ำ จากนั้นใส่น้ำอีกครึ่งหนึ่งแล้วคั้นเอาน้ำออก และนำน้ำที่ได้ใส่น้ำเชื่อม ชิมรสตามใจชอบ
น้ำขมิ้นชัน บำรุงร่างกาย ป้องกันโรค
“ขมิ้นชัน” สมุนไพรพื้นบ้านที่ใช้ในตำรับอาหารและตำรับยากันมายาวนานทั้งภาคใต้ ภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคเหนือ โดยเฉพาะสรรพคุณทางยาของขมิ้นที่สามารถใช้เป็นยาภายนอกและยารับประทานได้ เช่น เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงร่างกาย บำรุงธาตุ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ รักษาโรคกระเพาะ รักษามะเร็ง มีฤทธิ์ในการลดการอักเสบ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อโรคที่เกิดจากการอักเสบหลายชนิด เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ มีฤทธิ์ช่วยขับน้ำดีซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดี แต่ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่มีท่อน้ำดีอุดตัน แก้อักเสบหลังคลอด รักษาแผล สิว ฝี หรือทำให้ผิวสวย ฯลฯ
ปัจจุบันมีงานศึกษาวิจัยมากมายที่ค้นพบคุณค่าของขมิ้นต่อโรคมะเร็ง โดยพบว่า “ขมิ้น” มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ(Anti-oxidant, Anti-toxic) ต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) ต้านการเกิดมะเร็ง (Anti-carcinogenic) ทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างเป็นปกติ (Immuno-modulatory) ป้องกันการแพร่กระจายของมะเร็ง (Anti-matastatic) ทำให้เซลมะเร็งตายและป้องกันการตายของเซลปกติ (Apoptotic, Anti-apoptotic) เป็นต้น
นอกจากนี้ “ขมิ้น” ยังมีประโยชน์ต่อโรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจและหลอดเลือด และยังมีการค้นพบสรรพคุณใหม่ ๆ ของขมิ้นชันอีกมากมาย เช่น การป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด การชลอความแก่ การกินอาหารผสมขมิ้นสามารถทำลายเชื้อไวรัสที่ผ่านมาทางอาหารได้ และยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันและลดปฏิกริยาการแพ้ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้และเป็นหวัดบ่อย ๆ
และสำหรับสูตรการทำน้ำขมิ้นชันหรือชาขมิ้นชันแบบง่ายๆ และสามารถดื่มได้ทุกวันเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง คือ นำขมิ้นชัน 45 กรัม ผสมกับชะเอม 30 กรัม ต้มในน้ำร้อนประมาณ 5 – 6 ลิตร แค่นี้คุณก็ได้น้ำขมิ้นชันไว้ดื่มเพื่อสุขภาพที่ดีกันทั้งครอบครัว
สิ่งสำคัญควรจำไว้ว่าทุกอย่างมีทั้งคุณและโทษ การรับประทานยาหรือสมุนไพรทุกชนิดก็ควรรับประทานตามขนาดที่ระบุไว้ หรือศึกษาวิธีรับประทานให้ถูกต้องและเหมาะสมกับปัญหาของแต่ละคน เพราะหากกินน้อยเกินไปก็จะไม่เห็นผล และหากกินมากเกินไปก็จะให้โทษได้เช่นเดียวกัน
ผู้ที่สนใจเมนูน้ำสมุนไพรนานาชนิด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โทร 037-211-289