“ยันฮี” ทุ่มกว่า 800 ล้านบ.
ผุดอาคารใหม่ขยายครบวงจร
“รพ.ยันฮี” สวนกระแสเศรษฐกิจ ประกาศทุ่มงบมากกว่า 800 ล้านบาท ก่อสร้างอาคารใหม่ “ Inter 3 ” ต่อเนื่องจาก “Inter 1 และ Inter 2” จับมือพันธมิตร “อิตาเลียนไทย” เป็นผู้รับเหมาโครงการ ซึ่งเป็นอาคารสูง 13 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 22,000 ตารางเมตร คาดใช้เวลาไม่เกิน 2 ปีแล้วเสร็จ ย้ำเจตนารมณ์ผู้นำด้านสุขภาพและความสวยงามระดับสากล มุ่งขยายบริการรองรับลูกค้าชาวต่างชาติที่มีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 20 % ระบุ 5 ประเทศที่มาใช้บริการสูงสุด คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ , จีน , เมียนมา , กัมพูชา และออสเตรเลีย
นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) โรงพยาบาลยันฮี กล่าวภายหลังการเซ็นสัญญาก่อสร้างตึก Inter 3 ว่า ทางโรงพยาบาลมีการวางแผนขยายธุรกิจโรงพยาบาลให้มีการรักษาที่ครอบคลุมและครบวงจรมาอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ได้ใช้งบลงทุนกว่า 800 ล้านบาท สำหรับใช้ในการก่อสร้างอาคารใหม่ “ Inter 3 ” เพื่อเตรียมรองรับกลุ่มลูกค้าที่คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต ถือเป็นโครงการต่อเนื่องจากอาคาร Inter 1 และ Inter 2 ที่ได้เปิดให้บริการไปแล้ว
สำหรับความคืบหน้าในการก่อสร้าง คาดว่า จะใช้ระยะเวลาประมาณ 20 เดือน ก่อสร้างเป็นอาคารสูง 13 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 22,000 ตารางเมตร โดยแต่ละชั้นของตึก Inter 3 นั้น จะเป็นส่วนต่อขยายจากตึกโรงพยาบาลยันฮี เช่น ชั้น 1 ศูนย์ประกันสังคม ชั้น 2 ศูนย์ทันตกรรม ชั้น 3 จ่ายกลาง ชั้น 4 ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่ง ชั้น 5 ศูนย์ผิวหนังและเลเซอร์ ฯลฯ โดยเชื่อมั่นว่า การขยายงานครั้งนี้ จะสามารถรองรับลูกค้าที่จะมีอัตราการเติบโตมากขึ้นในอนาคต
สำหรับโครงการก่อสร้างตึก Inter 3 นั้น นพ.สุพจน์ กล่าวว่า ทางโรงพยาบาลวางแผนที่จะขยายฐานลูกค้าสู่ตลาดต่างประเทศอย่างครบวงจร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับลูกค้าต่างชาติเป็นอันดับแรก ซึ่งจากสถิติพบว่า ในปัจจุบัน จำนวนผู้มารับบริการชาวต่างชาติมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 20 % กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคในแถบเอเชีย และอื่นๆ โดยมี 5 ประเทศที่มีจำนวนลูกค้ามาใช้บริการสูงสุด คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ , จีน , เมียนมา , กัมพูชา และออสเตรเลีย
“เหตุผลที่เข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาลยันฮี เนื่องจากเทคโนโลยีบวกกับฝีมือแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ผสานกับเทคนิคใหม่ๆ ทำให้ผลงานที่ออกมามีความประณีตละเอียด แลดูเป็นธรรมชาติ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ก็มีส่วนผลักดันให้ลูกค้าเลือกมาใช้บริการ เช่น การบริการ การดูแลเอาใจใส่โดยทีมแพทย์ พยาบาลที่มีความพร้อม และค่ารักษาซึ่งเป็นราคาที่ลูกค้าพอใจ ที่สำคัญ ประเทศไทยเอง กำลังจะกลายเป็น Medical Hub ในภูมิภาคเอเชีย และเราในฐานะที่เป็นโรงพยาบาลเพื่อสุขภาพและความงาม ก็ได้ปรับตัวในทุกๆ ด้าน พร้อมรับกับการขยายตัวสู่การเป็นโรงพยาบาลระดับนานาชาติ” นพ.สุพจน์ กล่าว