คนรักสวยรักงามระวัง.ฟิลเลอร์
ทำคน “ไม่ป่วย” เป็น “คนป่วย”
ปัญหาเรื่องความสวยความงามนั้น เป็นปัญหาที่ใกล้ตัวอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องการนำสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ มาใช้เป็นองค์ประกอบในการให้บริการเพื่อเสริมจมูกแล้วเกิดตาบอดทันที มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย จึงมีความห่วงใยผู้ที่ไปรับบริการในด้านนี้ ควรไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเนื่องจากมีทั้งข้อดีในเรื่องของความงามและข้อเสียเกี่ยวกับการเกิดสภาวะแทรกซ้อนกับ “ผู้ที่ไม่ป่วย” ทำให้กลายเป็น “ผู้ป่วย” ได้อยู่เสมอ
ศ.ดร.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ ประชาสัมพันธ์สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สารเติมเต็ม มีอยู่หลายชนิด แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่
1.แบบชั่วคราว (Temporary Filler) มีอายุการใช้งานประมาณ 4-6 เดือน แต่มีความปลอดภัยสูง สลายตัวได้เองตามธรรมชาติ
2. แบบกึ่งถาวร ( Semi Permanent Filler) เช่น ซิลิโคน หรือพาราฟิน หลังฉีดแล้วจะอยู่ในผิวตลอดไป ไม่สลายตามธรรมชาติ ยกตัวอย่าง เช่น ซิลิโคน หรือพาราฟิน หลังฉีดแล้วจะอยู่ในผิวตลอดไป ไม่สลายตามธรรมชาติ มักพบผลข้างเคียงในระยะยาว (ปัจจุบันแพทยสภา ได้มีประกาศห้ามใช้ฟิลเลอร์ชนิดถาวรอย่างเด็ดขาด)
การใช้สารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ สำหรับรักษาปัญหาผิวพรรณนั้น ใช้หลักการ คือผิวหนัง ซึ่งจะมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญ คือ ใยคอลลาเจนและสารไฮยาลูโรนิก ที่มีความสามารถในการอุ้มน้ำมากกว่าตัวเองหลายร้อย หรือ เป็นพันเท่า มีหน้าที่สำคัญเป็นองค์ประกอบที่ให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นแก่ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณมีรูปทรงเต่งตึง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเข้าสู่วัยชรา จะพบว่าใยคอลลาเจนและสารอุ้มน้ำจะค่อย ๆ มีปริมาณลดน้อยลง มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผิวหนังจะมีลักษณะบางลง เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น เพื่อแก้ไขภาวะดังกล่าว จึงมีความพยายามหาทางแก้ไขโดยการฉีดสารจากภายนอกเข้าไปในผิวหนัง เพื่อทดแทนหรือที่เรียกกันว่า “Filler”
ข้อบ่งชี้สำหรับการรักษาปัญหาผิวพรรณในปัจจุบัน สารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ จะถูกนำมาใช้รักษาทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย เราสามารถใช้ฟิลเลอร์ ในการรักษาปัญหาผิวพรรณได้ โดยการแก้ปัญหาริ้วรอย ของผิวอันเนื่องมาจากวัย เช่น ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก หางตา และร่องแก้ม ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งเติมเต็มใยคอลลาเจนที่หายไป ทำให้ริ้วรอยบริเวณดังกล่าวตื้นขึ้น สภาพผิวดูดีขึ้น การแก้ไขปัญหาแผลเป็นชนิดผิวบุ๋ม เช่น การเกิดแผลบุ๋มจากสิวอักเสบ เป็นต้น
กรณีดังกล่าวนี้สามารถใช้ฟิลเลอร์ เติมเต็มทำให้แผลบุ๋มดีขึ้น อย่างไรก็ตามต้องเลือกชนิดแผลผิวบุ๋มที่เหมาะสมต่อการรักษา โดยแผลนั้นต้องไม่มีพังผืดในบริเวณใต้แผลบุ๋ม มิฉะนั้นผลการรักษาจะไม่ดีเท่าที่ควรและการใช้ฟิลเลอร์ฉีดเพื่อเสริมเนื้อเยื่อผิวหนังให้มีลักษณะนูนเต็มขึ้นกว่าเดิม เช่น เสริมจมูก เสริมคาง ริมฝีปาก หรือฉีดเพื่อทำให้รูปทรงของหน้าดูอวบอิ่มกว่าเดิม
สำหรับผลข้างเคียง ที่ทำให้ตาบอดหรือแขนขาอ่อนแรง เกิดจากการที่ฉีดสารเข้าไปในเส้นเลือดที่ต่อเนื่องไปเลี้ยงลูกตา อาจพลาดไปโดนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงบริเวณดวงตา ทำให้เกิดอาการเส้นเลือดอุดตันจนตาบอด ถาวรได้ เนื่องจากดวงตาสามารถทนภาวะขาดเลือดได้แค่ 90 นาที เท่านั้น ต่างจากผิวหนังที่ทนได้ 6 ชั่วโมง ซึ่งลักษณะดังกล่าวเกิดจากกระบวนการฉีดที่มีการรั่วไหลของฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงประสาทตา ทำให้ตาบอดถาวรตลอดชีวิต
ดังนั้น ขอความร่วมมือกับแพทย์และผู้ที่อยากเสริมจมูก ควรทำด้วยวิธีอื่นที่ปลอดภัยมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์ เนื่องจากอาจเกิดอันตรายที่รุนแรงและสารเหล่านี้มีราคาแพงและอยู่ได้ไม่ถาวร อันตรายที่เกิดขึ้นสามารถเกิดจาก 3 ปัจจัย คือ
1. ตัวผู้ทำการฉีดต้องมีความรู้ ความชำนาญสูง และต้องเป็นแพทย์เท่านั้น ถึงแม้ผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมและมีประสบการณ์สูงสุดก็อาจเกิดผลข้างเคียงได้
2. สารที่ใช้ ถึงแม้ว่าเป็นสารที่ผ่านการรับรองจากอย. ก็สามารถเกิดผลข้างเคียงได้ แม้แต่การดูดไขมันของตัวเองมาฉีดก็เกิดอันตรายได้เช่นกัน
3. ตัวผู้รับการฉีดแต่ละคนมีกายวิภาคที่ต่างกัน ตำแหน่งของเส้นเลือดเส้นประสาทอาจมีความแตกต่างจากคนอื่นได้ โดยเฉพาะที่ได้รับการผ่าตัด การฉีด การร้อยไหม จะมีพังผืดทำให้เกิดอันตรายง่ายขึ้นอีก
คนรักสวยรักงาม ก่อนทำคงต้องศึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้รอบคอบก่อน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบที่จะตามมา…