ทีเอ็มบีครึ่งปีแรกโชว์แกร่ง
กำไรก่อนสำรองโตต่อ 5%
ทีเอ็มบีแจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 และงวด 6 เดือน ปี 2559 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองฯ สำหรับงวด 6 เดือน จำนวน 9,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว ผลจากปรับการนำเสนอสินเชื่อให้รวดเร็วและตอบโจทย์ ระบุยังคงตั้งสำรองฯอย่างระมัดระวังที่ระดับค่อนข้างสูงเป็นจำนวน 3,875 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 4% และรักษาความแข็งแกร่งของสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ที่ 143% หลังสำรอง ธนาคารฯ มีกำไรสุทธิที่ 4,243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9%
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)หรือทีเอ็มบี กล่าวว่า “ใน 6 เดือนแรกของปี 2559 นี้ ผลการดำเนินงานของธนาคารยังคงดีขึ้น โดยมีสินเชื่อเพิ่มขึ้น 2% จากสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก อันเป็นผลจากการที่ธนาคารปรับปรุงกระบวนการนำเสนอสินเชื่อให้มีความรวดเร็วและถูกต้องตอบโจทย์ลูกค้าได้ดี ทำให้ลูกค้าสนใจใช้ผลิตภัณฑ์ของธนาคารมากขึ้น
ในขณะที่เงินฝากลดลงเล็กน้อย 0.5% โดยหลักมาจากการบริหารสัดส่วนของเงินฝากให้สอดคล้องกับการเติบโตของสินเชื่อ โดยสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ที่ 92% ในขณะที่เงินฝากลูกค้าบุคคลยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ 3% อีกทั้งธนาคารยังประสบความสำเร็จในการขยายเงินฝากธุรกรรมทางการเงิน (Transactional deposit) จากฐานเงินฝากลูกค้าบุคคล โดยเงินฝาก All Free ยังเติบโตได้ดีโดยเพิ่มขึ้น 63% จากปลายปีที่แล้ว”
ทั้งนี้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิในงวด 6 เดือน เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว แต่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงเล็กน้อย 2% ส่วนใหญ่มาจากการลดลงของรายได้ธุรกรรมตลาดทุนจากผลกระทบของความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ในไตรมาส 2 และการลดลงของค่าธรรมเนียมสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม รายได้ค่าธรรมเนียมจากลูกค้าบุคคลยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะค่าธรรมเนียมผลิตภัณฑ์แบงก์แอสชัวรันส์ ทำให้รายได้รวมของธนาคารมีจำนวน 16,946 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%
ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน (ไม่รวมค่าใช้จ่ายสำรองของ NPA และสำรองหนี้สินอื่น) มีจำนวน 7,801 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นเพียง 1% ซึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองฯในงวด 6 เดือนที่ 9,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว โดยในไตรมาส 2 ธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองฯที่ 4,451 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 3% จากไตรมาสที่แล้ว
ในด้านคุณภาพสินทรัพย์ แม้ว่ามีสัญญาณที่ดีขึ้นของสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) แต่การแก้ไขหนี้ (Debt restructuring) เป็นไปค่อนข้างช้า ดังนั้น จากการที่ธนาคารตั้งสำรองอย่างระมัดระวังมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารตัดสินใจตัดบัญชีหนี้สูญ (Write off) เพิ่มเติมสำหรับ NPL ที่มีการกันสำรอง 100% จำนวน 2,900 ล้านบาทและขาย NPL จำนวน 167 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2 นี้ ทำให้ NPL ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ลดลงเป็น 19,779 ล้านบาท และทำให้สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อลดลงจากปลายปีแล้วที่ 2.99% มาอยู่ที่ 2.87% ขณะที่สัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ดีขึ้นเป็น 143%
ธนาคารยังคงตั้งสำรองอย่างระมัดระวัง โดยตั้งสำรองในระดับสูงที่จำนวน 1,998 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2 รวมเป็น 3,875 ล้านบาทในงวด 6 เดือนซึ่งเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว โดยหลังตั้งสำรองฯ ธนาคารมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 จำนวน 2,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อน และ 4,243 ล้านบาทในงวด 6 เดือน เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว
ในขณะเดียวกัน ธนาคารยังคงดำรงสถานะเงินกองทุนในระดับแข็งแกร่งภายใต้เกณฑ์ Basel III โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) เพิ่มขึ้นเป็น 17.95% และกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) เพิ่มเป็น 12.51% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งกำหนดไว้ที่ 9.125% และ 6.625% ตามลำดับ
นายบุญทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า “ผลการดำเนินงานของธนาคารยังปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเกิดจากความพยายามในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง อีกทั้งธนาคารยังมีแผนต่อเนื่องที่จะนำเสนอดิจิทัลแบงก์กิ้ง ที่จะช่วยให้ลูกค้าได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ นอกจากนี้ ในด้านการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ ธนาคารคงความระมัดระวังและให้ความสำคัญในการรักษาคุณภาพสินทรัพย์และสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพให้อยู่ในระดับแข็งแกร่งเพื่อความมั่นคงและการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป”