กลุ่มCIMBกำไรครึ่งปีโต3.9%
2,312ล้านริงกิตผลคุมรายจ่าย
ซีไอเอ็มบี กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เบอร์ฮาด (“กลุ่มซีไอเอ็มบี” หรือ “กลุ่มฯ”) เปิดผลกำไรก่อนภาษีงวดครึ่งปี 2559 โต 3.9% จำนวน 2,312 ล้านริงกิต (ราวๆ 2.31 หมื่นล้านบาท) มีกำไรสุทธิจำนวน 1,687 ล้านริงกิต (ราวๆ 1.68 หมื่นล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากกำไรสุทธิจากการดำเนินธุรกิจปกติในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งเท่ากับ 1,659 ล้านริงกิต โดยมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 19.6 เซ็น อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยสุทธิจากการดำเนินธุรกิจปกติคำนวณเป็นอัตราส่วนเต็มปี8.1% จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครั้งที่ 1 8.0 เซ็นต่อหุ้น
เต็งกู ดาโต๊ะ ศรี ซาฟรูล์ อาซิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มซีไอเอ็มบี กล่าวว่า “ธุรกิจลูกค้าผู้บริโภคและธุรกิจลูกค้ารายใหญ่ยังคงมีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการที่ตลาดทุนปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2 ของปี การที่กลุ่มฯมีการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวดเป็นผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนและผลกำไรก่อนภาษีของกิจการในอินโดนีเซียเติบโตถึงร้อยละ 241.2
ทั้งนี้รายได้ที่ดีขึ้น ทำให้กำไรสุทธิงวดครึ่งปี 2559 เติบโตร้อยละ 1.7 จากปีก่อน เงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของแข็งแกร่งขึ้นเท่ากับร้อยละ 10.7 จึงมีแนวโน้มที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายปลายปีที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 11 ได้ กลุ่มฯได้เสนอจ่ายเงินปันผล 8 เซ็นต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลประมาณร้อยละ 40 สำหรับครึ่งปีแรก จากการที่สภาวะเศรษฐกิจมหภาคยังคงมีความท้าทายต่อเนื่อง กลุ่มฯจึงมีความพอใจกับผลประกอบการดังกล่าว”
เต็งกู ซาฟรูล์ กล่าวด้วยว่า กลุ่มซีไอเอ็มบียังคงระมัดระวังในการขยายการเติบโตของงบดุลเนื่องจากสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจภายนอกยังคงมีความท้าทาย จึงได้เน้นในเรื่องปรับปรุงการบริหารความเสี่ยงและการกำกับดูแล คุณภาพสินทรัพย์ และการบริหารค่าใช้จ่าย โดยโครงการและมาตรการริเริ่มต่างๆที่ดำเนินการอยู่ได้เริ่มส่งผลเป็นที่น่าพอใจ คาดว่าซีไอเอ็มบีไนอากาจะมีผลประกอบการดีขึ้นในครึ่งปีหลัง ซีไอเอ็มบีมาเลเซียและสิงคโปร์คาดว่าผลประกอบการจะลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวของทั้งสองประเทศ ส่วนซีไอเอ็มบีไทยจะยังคงเน้นเรื่องคุณภาพสินทรัพย์และการปรับโครงสร้างการดำเนินงานต่อไป
“จากสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความสุ่มเสี่ยง ทำให้กลุ่มฯเน้นสร้างผลตอบแทนที่มีการปรับค่าความเสี่ยงจากเซ็กเมนต์ที่เห็นว่ามีแนวโน้มเติบโตดีเท่านั้น แม้กลุ่มฯจะคาดว่าผลประกอบการในครึ่งปีหลังจะขยายตัวดีขึ้น แต่การเติบโตของเงินให้สินเชื่อและอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นมีแนวโน้มต่ำกว่าเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้แม้ว่าเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ และอัตราการจ่ายเงินปันผล ต่างมีแนวโน้มจะบรรลุเป้าที่ตั้งไว้ก็ตาม
ทั้งนี้ ยังคงมีการติดตามดูแลคุณภาพสินทรัพย์และการใช้เงินกองทุนให้ได้ประโยชน์สูงสุดอย่างใกล้ชิด ในขณะเดียวกันกลุ่มฯจะผลักดันการดำเนินการตาม T18 ในเรื่องค่าใช้จ่าย การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่องต่อไปเพื่อให้กลุ่มฯมีสถานะที่ดีขึ้นในระยะปานกลาง” เต็งกู ซาฟรูล์ กล่าวในที่สุด