คาด “ทรัมป์” ชนะศึกปธน.US
ไม่กระทบลงทุนอสังหาฯระยะสั้น
บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล วิเคราะห์ผลจากการที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะไม่ส่งกระทบโดยตรงต่อการลงทุนของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างน้อยในระยะสั้น ส่วนในปานกลางถึงระยะยาว ต้องรอดูว่านโยบายของรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่มีผลต่ออุปสงค์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อไป ชี้ผลกระทบอย่างหนึ่งคือ เงินดอลลาร์สหรัฐผันผวน แต่เชื่อคงไม่แข็งขึ้นมากพอชะลอการตัดสินใจนักลงทุน
หนึ่งในผลกระทบที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นหลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คือ ความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่หลายสำนักคาดว่า ดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่าลงในระยะแรกหลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พบว่า เงินดอลลาร์ได้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินของหลายๆ ประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยและกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่
นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล กล่าวว่า “ในแง่ของการลงทุน หากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นต่อไปอีก จะมีผลทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ถือเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ได้รับผลประโยชน์ เนื่องจากจะสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยได้ในราคาที่ถูกลง แต่ในขณะเดียวกัน เชื่อว่า เงินดอลลาร์จะไม่แข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากนักเมื่อเทียบกับเงินบาท ดังนั้น จึงไม่น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมีผลให้นักลงทุนที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยเร่งหรือชะลอการตัดสินใจ โดยเฉพาะในขณะนี้ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามาลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยในขณะนี้ เป็นกลุ่มทุนจากเอเชียแปซิฟิก”
โดนัลด์ ทรัมป์
“ในทางกลับกัน หากในระยะต่อไปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับค่าเงินปอนด์ของอังกฤษหลังผลโหวต Brexit ในช่วงก่อนหน้านี้ มีความเป็นได้ว่า สหรัฐฯ และประเทศที่ผูกติดค่าเงินไว้กับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เช่น ฮ่องกง จะกลายเป็นตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่นักลงทุนไทยให้ความสนใจมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนจะสามารถมีโอกาสเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศเหล่านี้ได้ในราคาที่ถูกลงเมื่อคำนวณเป็นเงินบาท”
“อย่างไรก็ดี อาจเร็วเกินไปที่จะสรุปความเป็นไปได้ของทั้งสองกรณีที่กล่าวมา เนื่องจากกรณีของสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนสูง นอกจากนี้ ทิศทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลใหม่จะยังไม่มีความชัดเจนอย่างน้อยไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2560
ทั้งนี้ และทั้งนั้น อุปสงค์หรือความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศใดๆ ก็ตาม จะขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจในระดับมหภาคภายในประเทศค่อนข้างมาก ดังนั้น ยังคงต้องจับตาดูต่อไปว่า นโยบายและมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลใหม่ของสหรัฐฯ จะดำเนินการต่อไป จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกหรือไม่ มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทยและกำลังมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยในการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย” นางสุพินท์สรุป
ขอบคุณภาพประกอบจาก-www.tnews.co.th