มุมเกษตร..รัฐ-เอกชน4ภาคส่วน
ผุดโมเดลผลิตข้าวโพดยั่งยืน
หลังจากเกษตรกรปลูกข้าวโพดไทยประสบปัญหาราคาตกต่ำ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการนำเข้าข้าวสาลีและข้าวโพดจากต่างประเทศมาทดแทนผลผลิตภายในประเทศที่ออกสู่ตลาดช้าและมีคุณสมบัติไม่สอดพ้องกับความต้องการของตลาด จนทำให้ภาครัฐต้องงัดมาตรการระงับการนำเข้าข้าวสาลีมาใช้นั้น ล่าสุด 4 ภาคส่วน รัฐ-เอกชนผนึกพลัง เพื่อเดินหน้าสู่โครงการ “เกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน” ในรูปแบบ “บัลลังก์โมเดล” มุ่งพัฒนาและส่งเสริมเกษตรกรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ อีกทั้งมีการบริหารจัดการแบบแปลงใหญ่แห่งแรกของประเทศ
ทั้งนี้เมื่อ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมาได้มีพิธีร่วมลงนามข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่าง 4 ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาภาคการเกษตร ประกอบด้วย สำนักงานเทศบาลตำบลบัลลังก์ สำนักงานเกษตรอำเภอโนนไทย สหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส. (สกต.) นครราชสีมา และบ.กรุงเทพโปรดิ๊วส ซึ่งโมโดลดังกล่าวจะเป็นต้นแบบการรวมกลุ่มเกษตรกรผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เข้มแข็ง และยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานตรวจสอบย้อนกลับได้ ในอนาคต โดยมีกลุ่มเกษตรกรเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เข้าร่วมโครงการในปีแรก 360 คน ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูก 7,300 ไร่
ว่าที่ร้อยตรีฐนนท์ธรณ์ กวีกิจรัตนา นายกเทศมนตรี เทศบาลตำบลบัลลังก์ เปิดเผยว่า เทศบาลตำบลบัลลังก์มีเกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก 700 กว่าราย พื้นที่ปลูก 12,000 ไร่ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเกษตรกรประสบปัญหาแห้งแล้งซ้ำซาก ผลผลิตพืชผลเกษตรตกต่ำ เกษตรกรมีรายได้น้อย จึงได้ขอความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จาก บ.กรุงเทพโปรดิ๊วส ภายใต้โครงการ “เกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน” เพราะเห็นว่าเป้าหมายของโครงการมุ่งพัฒนาการเพาะปลูกอย่างถูกวิธีตามหลักวิชาการ เพื่อให้เกษตรกรมีผลผลิตเพิ่มขึ้น ต้นทุนผลิตลดลงทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และต่อยอดโครงการให้ส่งเสริมเกษตรกรครบวงจรมากขึ้นตั้งแต่วิธีการปลูก การเก็บเกี่ยวจนถึงการสนับสนุนตลาดรับซื้อ
“การผนึกกำลัง 4 ฝ่ายในครั้งนี้ เพื่อริเริ่ม “บัลลังก์โมเดล” เพื่อให้เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันเพาะปลูกข้าวโพดได้มาตรฐานที่ดีในลักษณะแปลงใหญ่ ลดต้นทุนการผลิต ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น ไปจนถึงรายได้เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน และสนับสนุนเรื่องตลาดและราคารับซื้ออย่างครบวงจร”
สำหรับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการได้รับการอบรมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ถูกต้องตามหลักการของโครงการ “เกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน”
เริ่มจากการวิเคราะห์ธาตุอาหารในดินวางแผนการใช้ปุ๋ยได้เหมาะสม ส่งเสริมให้เกษตรกรได้รับประโยชน์จากการรวมกลุ่มเรื่องจัดสรรเครื่องมือและทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ การแลกเปลี่ยนข้อมูลและเก็บข้อมูลแปลงเพาะปลูกเพื่อสนับสนุนระบบตรวจสอบแหล่งที่มาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตลอดจนการจัดการเก็บเกี่ยวและขนส่งผลผลิตร่วมกันอย่างเป็นระบบ และมีเป้าหมายให้เกษตรกรพัฒนามาตรฐานการเพาะปลูก ตามหลัก การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (Good Agriculture Practices: GAP)
ด้านนายไพศาล เครือวงศ์วานิช รองกรรมการผู้จัดการบริหาร บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บัลลังก์โมเดล” จะเป็นแห่งแรกของประเทศ ที่มีการผนึกพลังภาครัฐ เกษตรกร และเอกชน เพื่อสนับสนุนเกษตรกรเพาะปลูกข้าวโพดอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเพาะปลูก การบริหารจัดการเก็บเกี่ยวและขนส่ง รวมถึงการมีตลาดรับซื้อในราคาประกัน บนพื้นฐานการตรวจสอบย้อนกลับได้
ทั้ง 4 ภาคส่วนได้แบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบเพื่อผลักดันโครงการฯ ให้เกษตรกรได้รับประโยชน์สูงสุด โดยมี เทศบาลตำบลบัลลังก์จะเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนโครงการ ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ อำนวยความสะดวกและจัดหาปัจจัยการผลิตให้กับกลุ่มเกษตรกร มีเกษตรอำเภอเป็นผู้ให้คำแนะนำและสนับสนุนข้อมูล
ส่วน สกต.ทำหน้าที่รวบรวมผลผลิต จัดหาแหล่งรับซื้อผลผลิต ขณะที่ กรุงเทพโปรดิ๊วส ช่วยสนับสนุนการจัดอบรมการเพาะปลูกตามหลักวิชาการ และถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงรับซื้อในราคาประกันขั้นต่ำ 7.90 บาท/กิโลกรัม
นายจำลอง จันดอน กำนันตำบลบัลลังก์ 1 ในเกษตรกรเข้าร่วมโครงการรุ่นแรก ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 50 ไร่ กล่าวว่า จากการเข้าร่วมโครงการฯ ทำให้ตนเองและชาวบ้านรู้วิธีการปลูกข้าวโพดดีขึ้น และสามารถลดต้นทุนการผลิตจากการลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมี หันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทน
นอกจากนี้การรวมกลุ่มยังช่วยให้เกษตรกรสามารถต่อรองลดราคาค่าปุ๋ย และปัจจัยการผลิตอื่นๆ ที่สำคัญเกษตรกรไม่ต้องกังวลเรื่องตลาดรับซื้อ จากเดิมที่เคยขายให้พ่อค้าคนกลาง แต่ปีนี้สามารถนำผลผลิตขายให้โรงงานอาหารสัตว์โดยตรง
“แม้ว่าปีนี้ข้าวโพดจะได้รับผลกระทบจากฝนทิ้งช่วงระยะหนึ่ง แต่ผลผลิตที่ได้ครั้งนี้ข้าวโพดมีคุณภาพฝักดีขึ้น ผลผลิตต่อไร่น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 700 กว่ากิโลกรัมจากเดิม 500-600 กิโลกรัมต่อไร่ ประกอบกับต้นทุนที่ลดลง คาดว่าปีนี้รายได้หลังค่าใช้จ่ายน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
ถือเป็นแนวโน้มที่ดี เชื่อว่า การเดินหน้าผนึกกำลังเกษตรผลิตข้าวโพดแปลงใหญ่ จะเป็นการเดินในทิศทางที่ถูกต้อง เป็นการปลูกข้าวโพดอย่างยั่งยืน ด้วยคุณภาพที่เพิ่มขึ้นตรงตามความต้องการของตลาด ผลผลิตเพิ่มขึ้น และมีต้นทุนที่ถูกลง มีตลาดรับซื้อแน่นอน ราคาแน่นอนไม่ต่ำกว่า 7.90 บาท เกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มขึ้น สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามมา ในขณะที่ บริษัทได้ข้าวโพดคุณภาพดีขึ้นไปผลิตอาหารสัตว์ เรียกว่า ทุกฝ่ายพอใจ มีความสุขทุกฝ่าย …