ไบโอเนท-เอเชีย-มหิดลพัฒนา
นวัตกรรมวัคซีนไอกรนปลอดภัย
ทีมวิจัย “ไบโอเนท–เอเชีย” ร่วมมือกับทีมนักวิจัยจาก “มหาวิทยาลัยมหิดล” คิดค้นนวัตกรรมวัคซีนโรคไอกรนใหม่สู่การผลิตแบบครบวงจรเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เหนือกว่าด้วยเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม ทำให้มั่นใจว่าปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า ได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคไอกรน และวัคซีนรวมป้องกันโรคไอกรน คอตีบ และบาดทะยัก ซึ่งใช้วิธีทางพันธุวิศวกรรมเพื่อทำให้ความเป็นพิษของโปรตีนแอนติเจนหมดไปแทนการใช้สารเคมี โดยไบโอเนท–เอเชียถือเป็นบริษัทที่2 ของโลกที่ใช้วิธีนี้ พร้อมลุยพัฒนาการผลิตวัคซีนอื่นๆเพิ่มเติม
บริษัท ไบโอเนท–เอเชีย จำกัด ถือเป็นบริษัทแรกเริ่มในไทยที่มีแนวทางในการดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการแพทย์แบบ Innovative Solution โดยความร่วมมือจากผู้ก่อตั้งชงมีความชำนาญธุรกิจด้านวัคซีนจากสามประเทศคือไทย ฝรั่งเศส และเบลเยี่ยม เริ่มจากการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการผลิตวัคซีน และก้าวเข้าสู่การนำเข้าวัคซีน วิจัยและพัฒนา และจัดจำหน่ายวัคซีนทั้งในประเทศและประเทศใกล้เคียง จนปัจจุบันสามารถก้าวมาเป็นผู้นำด้านวัคซีนในประเทศไทย โดยการวิจัย พัฒนาและผลิตวัคซีนจากต้นน้ำแบบครบวงจรได้เป็นรายแรกของประเทศ
นายวิฑูรย์ วงศ์หาญกุล ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการบริษัท ไบโอเนท–เอเชีย จำกัดกล่าวถึงความสำเร็จดังกล่าวว่า “ถือเป็นความภาคภูมิใจของบริษัทฯ และทีมวิจัยเป็นอย่างยิ่งที่คิดค้นนวัตกรรมวัคซีนชนิดใหม่และผลิตแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงขั้นตอนสุดท้ายได้สำเร็จเป็นครั้งแรก โดยวัคซีนที่ผลิตได้จากการวิจัยครั้งนี้มีทั้งหมด 2 ชนิดได้แก่ วัคซีนป้องกันโรคไอกรน และวัคซีนรวมป้องกันโรคไอกรน คอตีบ และบาดทะยัก ซึ่งวัคซีนไอกรนดังกล่าวใช้วิธีทางพันธุวิศวกรรมเพื่อทำให้ความเป็นพิษของโปรตีนแอนติเจนหมดไป ซึ่งให้ผลดีกว่า ปลอดภัยกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้สารเคมี ไบโอเนท–เอเชียถือเป็นบริษัทที่สองของโลกที่สามารถผลิตวัคซีนไอกรนโดยใช้กระบวนการกำจัดความเป็นพิษของโปรตีนแอนติเจนโดยวิธีทางพันธุวิศวกรรมได้สำเร็จ”
กระบวนการผลิตวัคซีนโดยทั่วไปนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ ได้แก่ (1) การคิดค้นกล้าเชื้อเพื่อพัฒนาเป็นวัคซีน (2) การทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนในสัตว์ทดลองและในมนุษย์ และ (3) การผลิต บรรจุและจัดจำหน่าย ซึ่งผู้ผลิตวัคซีนในประเทศไทยส่วนมากจะสามารถผลิตแบบบรรจุในขั้นตอนสุดท้ายได้เพียงเท่านั้น ความสำเร็จครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกสำหรับการผลิตวัคซีนแบบครบวงจรอย่างแท้จริง
นายวิฑูรย์ เปิดเผยต่อว่า “ในครั้งนี้เราได้รับความร่วมมือจากทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดลในการคิดค้นกล้าเชื้อขึ้นมา และได้ร่วมกันทำการวิจัยอย่างทุ่มเทและต่อเนื่องร่วมกับทีมวิจัยคุณภาพจากทางไบโอเนท–เอเชีย โดยการศึกษาวิจัยในครั้งนี้เราใช้ระยะเวลาในการศึกษายาวนานถึง 10 ปีก่อนที่จะสามารถผลิตวัคซีนได้สำเร็จ ซึ่งใช้งบประมาณทั้งสิ้นกว่า 3,500 ล้านบาท”
สำหรับวัคซีนทั้งสองชนิดที่พัฒนาขึ้นมาได้สำเร็จนั้นได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ให้ผลิตและจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายในประเทศไทย ช่วงเดือนมีนาคม 2560 ก่อนจะขยายการจำหน่ายในภูมิภาคอื่นๆทั่วโลกต่อไป
“เรามีความมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาวัคซีนที่มีคุณภาพ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปทั้งในและต่างประเทศมีสุขภาพที่ดี ไร้โรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเรามีแผนกลยุทธ์ที่จะพัฒนาวัคซีนในการป้องกันโรคอื่นๆ ที่มีความร้ายแรงมากขึ้น ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพของนักวิจัยไทยที่สามารถนำไปสู่การต่อยอดและพัฒนานวัตกรรมใหม่ มุ่งสู่ความสำเร็จในขั้นต่อไปได้ ซึ่งสิ่งที่น่ายินดีที่สุดก็คือนับจากนี้เป็นต้นไปประชาคมโลกจะรู้จักประเทศไทยในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศทั่วโลก” นายวิฑูรย์กล่าวทิ้งท้าย