พาณิชย์ แจง พ.ร.บ.คุมยาสูบ
ไม่กระทบบรรดาร้านโชวห่วย
พาณิชย์ แจง พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่ ไม่ส่งผลกระทบร้านโชวห่วย เหตุรายได้หลักของร้านค้ากลุ่มนี้มาจากการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต อีกทั้งพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป โดยหันมาสนใจเรื่องความเป็นอยู่และสุขภาพของตนเองมากขึ้น มั่นใจ…ที่ผ่านมาให้การส่งเสริมและสนับสนุนร้านค้าโชวห่วยเป็นอย่างดี มีจัดอบรม “เทคนิคการบริหารจัดการค้าส่งค้าปลีกอย่างมืออาชีพ” ร่วมร้านค้าส่งต้นแบบ รวมทั้งยังทำงานร่วมกับร้านค้าส่ง-ค้าปลีกขนาดกลางและขนาดใหญ่ทั่วประเทศเพื่อเป็นพี่เลี้ยง ส่งผลให้…ร้านโชวห่วยอยู่คู่สังคมไทยอีกนาน ปี 2560 มีเป้าหมายพัฒนาร้านค้าปลีกกว่า 5,000 ร้าน ซึ่งจะส่งผลให้ร้านโชวห่วยสามารถพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจแข่งขันได้
นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า จากกรณีที่ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฯ ฉบับใหม่มีมติผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และมีหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อการค้าของร้านโชวห่วยที่กระจายอยู่ทั่วประเทศนั้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ขอขี้แจงว่า พ.ร.บ.ฯ ฉบับดังกล่าว จะไม่ส่งผลกระทบต่อการค้าขายและรายได้หลักของร้านโชวห่วย เนื่องจากรายได้ของร้านโชวห่วยมาจากการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพเป็นหลัก ซึ่งการซื้อสินค้าของผู้บริโภคในท้องถิ่นมาจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของร้านกับลูกค้า พฤติกรรมจะเป็นการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเป็นหลัก และซื้อแต่ละครั้งจำนวนน้อยแต่ซื้อบ่อยครั้ง อีกทั้ง ผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ว่าจะอยู่ในสังคมเมืองหรือท้องถิ่น ต่างมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค โดยหันมาสนใจเรื่องความเป็นอยู่และสุขภาพของตนเองมากขึ้น ส่งผลให้มีแนวโน้มที่จะลดการซื้อสินค้าที่อาจมีผลต่อสุขภาพ อาทิ สุรา และยาสูบ ดังนั้น ข้อกังวลที่มีการคาดการว่า พ.ร.บ.ฯ ฉบับดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อร้านโชวห่วยจึงไม่น่าเกิดขึ้น และไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ต่อร้านค้าขนาดใหญ่ด้วย”
“ที่ผ่านมา รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการประกอบธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีกไทยให้มีการบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทันต่อแนวโน้มการค้าการตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พร้อมปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์และการทำธุรกิจของร้านค้าส่ง-ค้าปลีกในส่วนภูมิภาคให้มีความทันสมัย สามารถแข่งขันและสร้างโอกาสที่เหนือกว่าในสถานการณ์การค้าที่มีการแข่งขันที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น รวมทั้ง เร่งเชื่อมโยงเครือข่ายด้านการตลาดระหว่างร้านค้าปลีกรายใหญ่กับร้านโชวห่วยรายย่อย โดยได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการกระจายสินค้าให้ถึงมือประชาชนในท้องถิ่นได้อย่างทั่วถึง อาทิ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ลงพื้นที่จัดอบรม “เทคนิคการบริหารจัดการค้าส่งค้าปลีกอย่างมืออาชีพ” โดยเป็นกิจกรรมที่ร่วมดำเนินการกับร้านค้าส่งต้นแบบในความดูแลของกรมฯ ในลักษณะพี่ช่วยน้อง เชิญชวนร้านค้าปลีกเครือข่ายในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรม โดยในปี 2560 มีเป้าหมายที่จะพัฒนาร้านค้าปลีกกว่า 5,000 ร้าน ซึ่งจะส่งผลให้ร้านโชวห่วยสามารถพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจให้แข่งขันได้ มียอดขายสินค้าเพิ่มขึ้น และกลายเป็นกลไกตลาดระดับท้องถิ่นที่ช่วยยกระดับเศรษฐกิจและชุมชนให้สามารถขับเคลื่อนได้อย่างคล่องตัว และมีเสถียรภาพ”
“ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ได้ใช้แนวทางประชารัฐร่วมกับผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ 5 ราย จัดทำสินค้า “ธงฟ้าประชารัฐ” ขึ้น เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ สร้างเศรษฐกิจชุมชนให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน โดยเน้นจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนในราคาถูกแบบถาวร ซึ่งมีราคาต่ำกว่าท้องตลาดประมาณร้อยละ 15-20 คาดว่าร้านโชวห่วยที่เข้าร่วมโครงการจำหน่ายสินค้า “ธงฟ้าประชารัฐ” จะมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10”
อธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า “การดำเนินงานของรัฐบาลในปัจจุบันได้คำนึงถึงองค์ประกอบของทุกมิติอย่างรอบคอบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมควบคู่กันไป โดยคำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกถือเป็นอีกมิติหนึ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจในส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ ปัจจุบันมีร้านค้าส่งค้าปลีกต้นแบบภายใต้การส่งเสริมของกระทรวงพาณิชย์ จำนวน 114 ร้านค้าทั่วประเทศ และในจำนวนนี้มีร้านค้าปลีกโชวห่วยเครือข่ายมากกว่า 20,000 ร้าน หากร้านในจำนวนนี้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างเข้มแข็งก็จะกลายเป็นกลไกและช่องทางสำคัญที่จะใช้ขยายตลาดทั้งผลิตภัณฑ์ชุมชนหรือสินค้าเกษตรในท้องถิ่นได้ รวมไปถึงจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป”