USถล่มซีเรีย ทรัมป์โชว์ขวาจัด
หมุนตามโลก..คณาภพ ทองมั่ง
การโจมตีทางอากาศของสหรัฐไปยังกองทัพรัฐบาลซีเรียอย่างฉับพลันเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นการเปิดสงครามครั้งแรกของสหรัฐในรอบหลายปี
หลังจากเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเพียง 2 เดือนเศษ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ซึ่งควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในยามสงคราม ได้สั่งให้เรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐ ยิงขีปนาวุธโทว์มาฮอว์ค โจมตีกองกำลังรัฐบาลซีเรีย โดยกล่าวหาว่าประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย ปล่อยให้กองทัพใช้อาวุธเคมี โจมตีพลเรือนผู้บริสุทธิ์
ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
พลเอกเจมส์ แมทธิส รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ กล่าวเมื่อวันจันทร์(10เม.ย.)ที่ผ่านมาว่า เรือบรรทุกเครื่องบินของสหรัฐ ที่ลอยลำอยู่ในน่านน้ำตะวั นออกกลาง ได้ยิงขีปนาวุธอย่างต่อเนื่องถึง 59 ลูก เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 6เมษายนโดยโจมตีไปยังฐานทัพอากาศซีเรียในกรุงดามัสกัส ซึ่งสามารถทำลายเครื่องบินรบของซีเรีย 1 ใน 5 ของที่มีอยู่ทั้งหมด
ทางด้านโฆษกรัฐบาลซีเรีย ได้แถลงตอบโต้ทันทีว่า ข้อกล่าวหาของนายทรัมป์เรื่องการใช้อาวุธเคมีไม่เป็นความจริง ทหารและกองกำลังซีเรียไม่เคยใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชนตามที่สหรัฐและประชาคมโลกได้กล่าวหามาหลายปีแล้ว ปฏิบัติการใดๆ ก็ตามของกองกำลังซีเรีย มีเป้าหมายเพื่อกวาดล้างกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส.ที่ทำสงครามเพื่อยึดครองซีเรีย รวมถึงการกวาดล้างกองกำลังฝ่ายกบฏกลุ่มต่างๆ
หลังการโจมตีของสหรัฐเพียงไม่ถึง 6 ชั่วโมง รัสเซียซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดที่สุดของซีเรีย ได้แถลงคัดค้านการโจมตีของสหรัฐ โดยนายดมิทรี เพสคอฟ โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวว่า ยังไม่มีข้อพิสูจน์ว่า กองทัพซีเรียโจมตีประชาชนด้ วยอาวุธเคมี
ขณะที่อิหร่านซึ่งเป็นมหาอำนาจตะวันออกกลางอีกชาติหนึ่ง และเป็นพันธมิตรของซีเรียเช่นเดียวกับรัสเซีย ยืนเคียงข้างผู้นำซีเรียเช่นเดียวกัน โดยระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการโจมตีของสหรัฐ
ส่วนกลุ่มชาติอาหรับและชาติมุสลิม โดยเฉพาะสันนิบาตอาหรับ ยังไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ อย่างเป็นทางการ
ทางด้านชาติยุโรป ประธานาธิบดีทรัมป์ได้หารือทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคล ผู้นำเยอรมนี และนายกรัฐมนตรีเทเรซ่า เมย์ ของอังกฤษ เกี่ยวกับกรณีซีเรีย โดยที่นางแมร์เคลกับนางเมย์ แสดงท่าทีสนับสนุนที่สหรัฐโจมตีซีเรีย ทั้งยังเห็นด้วยกับนายทรัมป์ว่า ประธานาธิบดีอัสซาดต้องรับผิดชอบ
วงการทูตเชื่อว่า นายทรัมป์คงปูทางขอความสนับสนุนจากผู้นำอังกฤษไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อครั้งที่เธอไปเยือนทำเนียบขาว ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ส่วนฝรั่งเศสยังสงวนท่าที เป็นไปได้ว่ามีเรื่องภายในที่สำคัญกว่า คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนช่วงปลายเดือนเมษายนและพฤษภาคมนี้ แทนที่ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ ซึ่งดำรงตำแหน่งตำแหน่งมาเพียงสมัยเดียว
ส่วนที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ หรือจี-7 ที่เมืองลุกกา ของอิตาลี ซึ่งเป็นไปตามวาระปกติ ได้หยิบยกสถานการณ์ซีเรีย ขึ้นมาเป็นวาระด่วน โดยที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า ควรเพิ่มมาตรการกดดันต่อทั้งรัฐบาลกรุงดามัสกัส และรัสเซีย ให้รับผิดชอบต่อการใช้อาวุธเคมี
ล่าสุดนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ เดินทางไปเยือนกรุงมอสโก ในวันพุธ(12 เม.ย. ) ซึ่งโฆษกของประธานาธิบดีวลาดิ เมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียกล่าวว่า นายทิลเลอร์สันไม่มีกำหนดเข้าพบนายปูติน แต่จะหารือกับนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียซึ่งแน่นอนว่า เกี่ยวกับเหตุผลในการโจมตีทางอากาศไปยังซีเรีย
การที่นายปูตินไม่มีกำหนดต้อนรับนายทิลเลอร์สัน ทั้งๆ ที่สมัยนายทิลเลอร์สันเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือซีอีโอ ของเอ็กซอน โมบิล บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของสหรัฐที่ไปลงทุนในรัสเซีย นายปูตินเคยมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้นายทิลเลอร์สัน น่าจะมีนัยะแฝงอยู่ ซึ่งมองได้ว่า ผู้นำรัสเซียต้องการส่งสัญญาณไปยังนายทรัมป์ว่า ไม่พอใจที่สหรัฐโจมตีซีเรีย
ผลกระทบต่อการโจมตีซีเรียของสหรัฐยังไม่จบง่ายๆ ความเคลื่อนไหวทางการทูตในช่วงวันสองวันนี้ อาจจะชี้ถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในซีเรีย ทั้งยังต้องจับตามดูท่าที ของชาติอาหรับ โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย พันธมิตรสำคัญที่สุดของสหรัฐในตะวันออกกลาง
ขอบคุณภาพประกอบจาก-http://www.cityvariety.com
-http://ostatic.tnamcot.com