รู้จักเครื่องฉายรังสี “EDGE”
มิติใหม่..รังสีศัลยกรรมรักษามะเร็ง
“มะเร็ง” เป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์เป็นอันดับต้นๆ ทั่วทุกมุมโลก อย่างไรก็ดีในปัจจุบันวิทยาการและนวัตกรรมด้านการรักษาโรคมะเร็งได้ก้าวหน้าอย่างมาก ในรอบทศวรรษที่ผ่านมา การรักษามะเร็งสมัยใหม่ มุ่งเน้นการรักษาเซลล์มะเร็งที่เป็นเป้าหมายเฉพาะจุด เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อเซลล์ปกติที่อยู่โดยรอบ ทั้งทางด้านศัลยกรรมมะเร็ง (surgical oncology) อายุรกรรมมะเร็ง (medical oncology) และรังสีรักษา (radiotherapy) โดยด้านรังสีรักษา นั้นทางโรงพยาบาลวัฒโนสถได้นำวิวัฒนาการ การฉายแสงที่มีความแม่นยำ (Precision Radiation Therapy) ด้วยเครื่องฉายแสง model EDGE มาใช้ อันเป็นมิติใหม่ทางการฉายแสงที่เรียกว่า รังสีศัลยกรรม เพื่อให้เป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศในการรักษาด้านโรคมะเร็ง
ศาสตราจารย์พิเศษ นายแพทย์ธีรวุฒิ คูหะเปรมะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวัฒโนสถ กล่าวว่า โรงพยาบาลวัฒโนสถ เป็นโรงพยาบาลเอกชนเฉพาะทางด้านโรคมะเร็ง เพื่อการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยผู้ป่วยจะได้รับการรักษาแบบองค์รวมและมีการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งแบบครบทุกมิติ (Total Cancer Care) ตั้งแต่ ป้องกัน วินิจฉัย รักษาและฟื้นฟู ด้วยทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์แบบสหสาขาวิชาชีพ (multidisciplinary team) และรักษาผู้ป่วยเฉพาะบุคคล (Personalized medicine) ปัจจุบันโรงพยาบาลวัฒโนสถได้ใช้ Precision Medicine มารักษาทางการให้ยากับผู้ป่วยโรคมะเร็งเฉพาะรายอย่างตรงจุด โดยใช้ข้อมูลของยีนส์แต่ละบุคคล
ซึ่งก้าวต่อไปทางโรงพยาบาลได้นำ Precision Radiation Therapy มาใช้กับการรักษาทางด้านรังสีรักษา มะเร็งแต่ละชนิด ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวได้แก่ เครื่องฉายรังสี EDGE อันเป็นเทคโนโลยีทางรังสีรักษา เป็นมิติใหม่ของการฉายแสงที่เรียกว่า “รังสีศัลยกรรม” หรือ “รังสีร่วมพิกัด” (Radiosurgery) ซึ่งเป็นการฉายรังสีพลังงานสูงในเวลาอันสั้นเป็นทางเลือกแทนการผ่าตัด ซึ่งทางโรงพยาบาลวัฒโนสถนำเข้ามาเป็นมูลค่า 180 ล้านบาท เพื่อช่วยให้การรักษาทำได้ดียิ่งขึ้น เพื่อความเป็นเลิศในการรักษา
เครื่องฉายรังสี EDGE ยังมีประสิทธิภาพในการควบคุมขอบเขตลำรังสีที่สอดรับกับรูปร่างหรือรูปทรงของก้อนมะเร็ง ทำให้อวัยวะข้างเคียงได้รับผลข้างเคียงน้อยจากปริมาณรังสีและยังสามารถให้รังสีในปริมาณสูงทำให้การฉายแสงแต่ละครั้งใช้ระยะเวลาน้อยลง เป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ป่วยดียิ่งขึ้น
ด้านรองศาสตราจารย์นายแพทย์ประเสริฐ เลิศสงวนสินชัย ผู้อำนวยการฝ่ายดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรงพยาบาลวัฒโนสถและแพทย์รังสีรักษา ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า สำหรับโรคมะเร็งในระยะเริ่มแรกมักจะมีปัญหาเฉพาะที่ แต่สำหรับมะเร็งในระยะท้ายๆ จะมีการลุกลามและแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ แม้ว่าคนไข้บางรายจะเป็นมะเร็งชนิดเดียวกัน ระยะโรคเหมือนกัน แต่วิธีการรักษาอาจแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโรคร่วมและร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย การรักษาโรคมะเร็งมีการพัฒนาไปในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดด้วยเทคนิคการส่องกล้อง การใช้หุ่นยนต์ผ่าตัด รวมถึงการรักษาด้วยตัวยาแบบมุ่งเป้าที่จะเจาะจงไปยังเซลล์มะเร็งเป้าหมาย ทำให้ผลกระทบที่จะเกิดกับเนื้อเยื่อปกติก็จะน้อยลงไป
ด้วยวิวัฒนาการเทคโนโลยีทางรังสีรักษายุคใหม่ที่สามารถกำหนดพื้นที่เป้าหมายการฉายแสงเฉพาะจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ “เครื่อง Varian EDGE” เป็นเครื่องฉายรังสีรักษารุ่นใหม่ ที่มีศักยภาพและมีเทคโนโลยีการฉายรังสี ทั้งในแบบ 3 มิติ (3D-RT) และ 4 มิติ (4D-RT) โดยเครื่องจะคำนวณปริมาณรังสีตามเทคนิคในการรักษาได้อย่างถูกต้อง แสดงให้เห็นการกระจายของปริมาณรังสีแบบ 3 มิติในบริเวณที่แพทย์ต้องการรักษา เป็นไปตามแผนการรักษาที่วางไว้
ลักษณะสำคัญของเครื่องอีกประการหนึ่ง คือ มีซี่วัตถุกำบังรังสี จำนวน 120 ซี่ ซึ่งสามารถเคลื่อนตัวได้อย่างอิสระ และซี่วัตถุกำบังรังสีจะมีขนาดเล็กมาก ทำให้สามารถเปิดขอบเขตลำรังสีได้อย่างรัดกุม สอดรับกับรูปร่างของก้อนเนื้อเยื่อที่ต้องการรักษา
ขณะเดียวกันซี่วัตถุกำบังเหล่านี้จะช่วยกำบังไม่ให้รังสีไปโดนอวัยวะปกติรอบข้าง หรือช่วยกำบังให้โดนให้น้อยที่สุด ในอดีตเครื่องฉายรังสีบางเครื่องถูกผลิตขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับการรักษาโรคมะเร็งในอวัยวะบางตำแหน่งเท่านั้น แต่เครื่อง EDGE สามารถปรับการใช้งานได้ และถูกออกแบบมาเพื่อเน้นจุดหรือตำแหน่งเฉพาะที่มากขึ้น ถ้าตำแหน่งของก้อนมะเร็งที่อยู่ใกล้เคียงกับอวัยวะสำคัญหรืออวัยวะที่ไวต่อรังสี โดยเครื่อง EDGE สามารถใช้ได้กับการฉายรังสีทั่วทั้งร่างกาย ทั้งในสมองและนอกสมอง ปอด ไขสันหลัง ต่อมลูกหมาก ระบบอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นต้น
จากข้อมูลการวิจัยทางคลินิกภายในปัจจุบันพบว่าการฉายรังสีในระยะเวลาสั้นๆ ด้วยปริมาณรังสีสูงมากๆ ในระดับหนึ่ง สามารถฆ่าและทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีกว่า โอกาสการกลับเป็นซ้ำน้อยลง อาการข้างเคียงลดลงกว่าวิธีเดิมๆ ที่ต้องฉายรังสีหลายครั้ง (conventional technique and dose) ทำให้เพิ่มโอกาสอยู่รอด และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยสูงขึ้น