พลัส พร็อพเพอร์ตี้ปี61ดึงเทคโนฯ
เสริมแกร่งมุ่งเบอร์1งานขาย-บริการ
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดแผนธุรกิจปี 2561 มีทิศทางสดใส จากปัจจัยบวกเศรษฐกิจโดยรวมขยายตัว ช่วยหนุนภาคอสังหาริมทรัพย์โตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม อัตราดอกเบี้ยคงที่ในระดับต่ำ ที่ช่วยลูกค้ากู้ซื้อบ้านและมีกำลังจ่าย นอกจากนี้เศรษฐกิจยังได้แรงหนุนภาคท่องเที่ยวที่กำลังบูม แม้ยังต้องระวังเรื่องกม.ผังเมืองและด้านแรงงาน ทั้งในแง่การขาดแคลนแรงงานและการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และหนี้สินภาคครัวเรือน มองกำลังซื้อยังมีในตลาดคอนโดมิเนียม ทาวเฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว มุ่งเจาะตลาดชาวจีนเพิ่มขึ้นและมุ่งสู่แบรนด์เบอร์1 ในใจลูกค้าทั้งด้านงานขายและบริการ งัดกลยุทธ์เสริมแกร่งธุรกิจ ทั้งมุ่งปรับสู่ดิจิตอลเต็มรูปแบบ ดึงเทคโนฯเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานทั้งด้านงานขายและงานบริหารจัดการอสังหาฯ รวมถึงจัดทำฐานข้อมูลลูกค้าขนาดใหญ่ นำสู่การพัฒนาสินค้าและบริการโดนใจ ตั้งเป้ารายได้รวมปี 61 โต 18% ที่ 1,300 ล้านบาท
นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทเดินหน้าด้วยกลยุทธ์ วางรากฐาน Big Data สู่การรวมศูนย์ข้อมูล
การใช้PropTech ปรับปรุงเวบไซต์ plus.co.th และเปิดตัว plussoleagent.com การให้บริการลูกบ้านผ่านทาง Home Service Application หรือนำถังขยะอัจฉริยะ(Smart Trash)มาใช้บริหารจัดการขยะในโครงการนำร่องไปแล้วที่โครงการจังหวัดขอนแก่นและอุดรธานี นับเป็นการขับเคลื่อนธุรกิจ ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคดิจิตอล
และ ใช้Total Solution ซึ่งเป็นบริการครบวงจร และจากการมี Total Solution ระบบบริหารงานขาย อาคาร นายหน้า ระบบวิศวกร ทำให้ลูกค้าเข้ามาจะได้รับบริการครบวงจร จากกลยุทธ์เหล่านี้ส่งผลให้บริษัทเติบโต 14% ได้บริหารงานขายเพิ่ม โดยได้ลูกค้าที่เป็นบริษัทมหาชนเพิ่ม จากเดิมเป็นบริษัทหน้าใหม่ เช่น บริษัทพร็อพเพอร์ตี้เพอร์แฟ็ค บริหารอาคาร SCB Park และอาคารเอสซีจี มีอาคารพื้นที่มากกว่า 500,000 ตร.ม.
สำหรับในปี 2561 ถือเป็นปีที่มีปัจจัยบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นปีที่รัฐบาลลงทุนด้านคมนาคมต่อเนื่อง มีเม็ดเงินเข้ามาในระบบสูงสุดที่เคยมีมาประมาณ 30% ของงบลงทุนรวมทั้งประเทศ ที่ถูกนำมาใช้เกี่ยวกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ปัจจัยการมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ในระดับต่ำ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขอสินเชื่อบ้านมีกำลังที่จะจ่ายได้ และแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวช่วยสร้างรายได้ดีต่อเศรษฐกิจประเทศ ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลดีต่อการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม เนื่องจากเป็นตลาดที่รองรับการอยู่อาศัยจริงและเพื่อการลงทุน
แต่ยังคงมีปัจจัยที่ต้องติดตาม 2 ประการคือ 1. ร่างกฎหมายผังเมือง ที่คาดว่าจะประกาศใช้เร็วๆ นี้ ต้องจับตาดูในรายละเอียดว่ามีการปรับเปลี่ยนด้านไหนบ้าง และ 2.ปัญหาเรื่องแรงงาน ทั้งการขาดแคลนแรงงานและค่าแรงที่เพิ่มขึ้น จากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และ 3. หนี้สินภาคครัวเรือน แม้มีแนวโน้มปรับลดลงแล้ว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมต่างๆ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ได้
ทั้งนี้ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้คาดการณ์ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 จะยังคงเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งยังคงมีกำลังซื้อในกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียม รองลงมาคือทาวน์เฮาส์ และตามด้วยบ้านเดี่ยว โดยคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์กลุ่มตลาดระดับกลางถึงกลุ่มระดับบนจะเป็นที่ต้องการในตลาดสูงขึ้น และตลาดบ้านเดี่ยวกลุ่มระดับกลางยังเป็นอุปทานหลักและมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี เนื่องจากตลาดระดับกลาง-บน ยังมีแรงขับโดยเฉพาะจากกลุ่มตลาดแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียมเป็นหลักเช่นเดิม และจะเริ่มขยายพื้นที่เติบโตตั้งแต่พื้นที่ชั้นในไปยังแถบชั้นกลางของกรุงเทพฯ
สำหรับกลยุทธ์และแผนงานของพลัสฯ ในปี 2561 นั้น ยังตั้งเป้าให้เป็นปีแห่งการเติบโต ด้วยการต่อยอดนโยบายการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ (Digital Transformation) และเน้นสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจและการเงิน จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อบรรลุเป้าหมายในการก้าวขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจลูกค้าทั้งด้านการขายและบริการ ตั้งเป้ารายได้รวมไว้ที่ 1,300 ล้านบาท หรือเติบโต 18% จากปี 2560 ซึ่งมีรายได้รวม 1,100 ล้านบาท (เติบโต 14% จากปี 2559) โดยสัดส่วนรายได้ยังคงแบ่งเป็น 40% ได้จากบริหารงานขาย 60% ได้จากบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์
ทั้งนี้ได้วางกลยุทธ์ ปี2561 ไว้4 ด้าน ประกอบด้วย
กลยุทธ์ด้านที่ 1 PLUS Experience การสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและเหนือความคาดหมาย ให้ลูกค้าได้สัมผัสถึงความเป็นพลัสฯ ในทุกจุดบริการ (Touch Point) ที่มีทั้งเว็บไซต์ , PLUS Shop ศูนย์ให้บริการด้านการขายอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร และตัวบุคลากรของพลัส ซึ่งลูกค้าที่เข้ามาสัมผัสจะพบกับบริการที่ใส่ใจลงลึกถึงรายละเอียด และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า สร้างการจดจำแบรนด์ ผ่านสื่อออฟไลน์และสื่อออนไลน์ หรือการมีเครื่องแบบพนักงานเพื่อให้จดจำได้
กลยุทธ์ด้านที่ 2 คือ Customer Focus ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุด โดยจะนำข้อมูลต่างๆ ของลูกค้า มาวิเคราะห์และออกแบบเพื่อให้ตอบสนองความต้องของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนยกระดับหลักสูตร PLUS Experience Development Center ที่เป็นการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ให้เป็นสถาบันแห่งการเรียนรู้ภายใต้ชื่อ PLUS Experience Development Institute หรือ PXDI จะเปิดทำการในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ เน้นการให้ความรู้เชิงลึกจากประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เพื่อให้เกิดการบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยจะร่วมพัฒนาหลักสูตรกับองค์กรภาครัฐและเอกชนสำหรับสถาบันนี้ ซึ่ง พลัสฯ มีความตั้งใจให้เป็นสถาบันที่ช่วยสร้างแรงงานคุณภาพเพื่อเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้หลักการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางจะถูกสะท้อนออกไปในรูปแบบของการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ ที่เข้ากับยุคสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ภายใต้แคมเปญ Beautiful Community -ความสุขเริ่มที่บ้าน ให้ความรู้ความเข้าใจในการใช้ชีวิตร่วมกัน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
กลยุทธ์ด้านที่ 3 Technology and Data Driven กลยุทธ์นี้เป็นการสานต่อจากปี 2560 ที่ได้เริ่มเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย (Big Data) จากทุกหน่วยธุรกิจ โดยในปีนี้ได้ลงทุนนำซอฟท์แวร์ Sales Force ซึ่งเป็นซอฟท์แวร์ระดับโลกเข้ามาเพื่อทำการเชื่อมต่อข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมไว้ให้พนักงานทุกคนเข้าถึงข้อมูลเดียวกัน และในส่วนของเว็บไซต์ยังมีการนำระบบ Machine Learning ที่สามารถศึกษาพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ เพื่อนำเสนอข้อมูลบริการที่เหมาะสมและตอบโจทย์ผู้ใช้แต่ละรายในรูปแบบที่แตกต่างกันไป
นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ที่เป็นระบบปฏิบัติการเข้ามาช่วยลดขั้นตอนการทำงาน รวมถึงการรวบรวมงานมอร์นิเตอร์มาไว้ที่ศูนย์กลางผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และมีการนำ QR Code มาใช้ในการติดตามตรวจสอบระบบและอุปกรณ์การทำงาน ทำให้ลูกค้าได้รับทราบข้อมูลแบบเรียลไทม์ โดยจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของการบริหารอาคารสำนักงานและที่พักอาศัย
กลยุทธ์ด้านที่ 4 Business and Financial Enhancement เป็นแกนหลักที่สะท้อนประสิทธิภาพการทำงานของ 3 ด้านที่กล่าวมาข้างต้น จะประสานให้เกิดความมั่นคงของธุรกิจในระยะยาว ทั้งการขยายงาน เพิ่มศักยภาพบุคลากร เกิดการกระจายรายได้อย่างมีเสถียรภาพ ตลอดจนมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีในอนาคต โดยในส่วนของงานบริหารการขายก็จะขยายไปสู่กลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและผู้ประกอบการชั้นนำ รวมถึงโครงการร่วมทุนระหว่างประเทศมากขึ้น
“ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าบริหารโครงการที่เป็นงานขายเฟิร์สแฮนด์หลัก ๆ ได้แก่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และมองแนวโน้มกลุ่มลูกค้าชาวจีนขยายตัวมากยิ่งขึ้น จึงเตรียมทำตลาดเพื่อสื่อสารกับชาวจีนเพิ่มขึ้น พร้อมเตรียมกำลังคน หาบุคลากรที่สามารถพูดภาษาจีนได้เพิ่มขึ้นด้วย”