สกสว.รวมพลังชาวเมืองคอน
อนุรักษ์วัดพระธาตุฯมรดกโลก
สกสว.หนุนทีมวิจัยวางแผนสำรวจประเมินความมั่นคงขององค์พระบรมธาตุเจดีย์วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช สำหรับรองรับการเสนอขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก และอนุรักษ์โครงสร้างโบราณสถานตามหลักวิศวกรรม พร้อมกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมสืบทอดมรดกที่มีคุณค่า
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับคณะกรรมการมรดกโลก จังหวัดนครศรีธรรมราช จัดกิจกรรม “การอนุรักษ์วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร สู่มรดกโลก” เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของประวัติศาสตร์และโบราณสถาน รวมถึงการจัดทำแผนอนุรักษ์วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร อย่างยั่งยืนตามหลักวิศวกรรม เพื่อร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยมีนายภาคภูมิ อินทรสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานในเวทีนำเสนอกระบวนการทำงานและพิธีเปิดตัว “คิกออฟพระบรมธาตุสู่มรดกโลก” โดยมีนักเรียนและประชาชนกว่า 2,000 คนร่วมงาน ณ วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร
ทั้งนี้ วัดพระมหาธาตุฯ เป็นแหล่งมรดกวัฒนธรรมของชาวนครศรีธรรมราช รวมถึงภาคใต้และประชาชนทั่วประเทศ ถือเป็นปูชนียสถานอันเป็นหลักฐานการแลกเปลี่ยนคุณค่าทางจิตใจของมนุษย์มานานหลายศตวรรษนับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14-16 และเจริญสูงสุดในพุทธศตวรรษที่ 18 ในฐานะเป็นจิตวิญญาณของอาณาจักรตามพรลิงค์ กรมศิลปากรและจังหวัดนครศรีธรรมราชจึงได้ร่วมกันเสนอชื่อต่อองค์การยูเนสโก เพื่อขอบรรจุไว้ในบัญชีเบื้องต้น เมื่อ พ.ศ. 2555 และยูเนสโกได้บรรจุไว้ในบัญชีแล้วเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2556
ผศ.ฉัตรชัย ศุกระกาญจน์ ประธานกรรมการฝ่ายวิชาการ กล่าวว่า คณะกรรมการมรดกโลกฯ ได้จัดทำแผนด้านคุณค่าโดดเด่น รวมถึงแผนการสร้างความเข้าใจกับประชาชนและวิธีการดูแลรักษาไว้แล้ว ภายใต้คำขวัญ “วัดพระมหาธาตุฯ มรดกไทย มรดกโลก” แต่ยังขาดข้อมูลด้านแผนอนุรักษ์คุ้มครองโบราณสถาน จึงประสานขอความร่วมมือจากคณะวิจัยชุดโครงการ “อนุรักษ์โครงสร้างโบราณสถานตามหลักวิศวกรรม” ซึ่งมี รศ. ดร.นคร ภู่วโรดม เป็นหัวหน้าชุด เพื่อวางแผนสำรวจประเมินความมั่นคงขององค์พระบรมธาตุเจดีย์สำหรับรองรับการเสนอขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลก โดยใช้เทคนิควิธีและเทคโนโลยีทางวิศวกรรมศาสตร์ อันเป็นองค์ความรู้ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) หรือ สกสว.ในปัจจุบัน
รศ. ดร.นคร ภู่วโรดม
คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นำโดย ผศ. ดร.กฤษฎา ไชยสาร และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดย รศ. ดร.สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์ และ ผศ. ดร.ชัยณรงค์ อธิสกุล ร่วมกันศึกษาเชิงวิศวกรรมเพื่อระบุและประเมินสภาพปัจจุบันของโครงสร้างในบริเวณวัดพระมหาธาตุฯ โดยใช้เครื่องเลเซอร์เก็บข้อมูลภาคพื้นดินแบบกลุ่มจุดข้อมูลจาก 130 สถานี ได้กลุ่มจุดข้อมูลทั้งหมดประมาณ 1พันล้านจุด เก็บไว้ในระบบเครือข่ายดิจิทัลที่สามารถเข้าถึงได้โดยประชาชนทั่วไป อีกทั้งสามารถใช้ตรวจเฝ้าระวังสำหรับแผนการอนุรักษ์ ส่วนการเก็บข้อมูลโครงสร้างโดยวิธีการสร้างแบบจำลอง 3 มิติจากภาพถ่ายทางอากาศด้วยโดรน พบว่าเจดีย์มีค่าความเอียงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 1.45 องศา โดยแบบจำลองดังกล่าวยังสามารถใช้ในการประเมินสภาพความเสียหายของโครงสร้างจากพื้นผิวภายนอกและใช้ในการวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์
ผศ. ดร.นเรศ ลิมสัมพันธ์เจริญ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงการวิเคราะห์โครงสร้างว่ายังมั่นคงปลอดภัยภายใต้น้ำหนักของตัวองค์เจดีย์เองทั้งส่วนขององค์เจดีย์และการรับน้ำหนักของดินฐานราก ผลการวิเคราะห์พบว่าหากพระบรมธาตุเจดีย์เอียงถึงระดับ 7 องศา จึงจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงในส่วนกลางขององค์พระบรมธาตุได้ ส่วนการใช้เทคโนโลยีตรวจสอบการสั่นสะเทือนจากการจราจรพบว่า มีผลกระทบต่อความมั่นคงของโครงสร้างโบราณสถานน้อยมาก โดยมีค่าต่ำกว่าที่ยอมให้ตามมาตรฐานสากล เนื่องจากพื้นดินบริเวณวัดพระมหาธาตุฯ เป็นดินที่แข็งมาก ประกอบกับมีการห้ามรถบรรทุกหนักวิ่งบนถนนที่ผ่านด้านหน้าและด้านหลังพระบรมธาตุเจดีย์ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อแรงสั่นสะเทือน นอกจากนี้ในการบูรณะทางคณะวิจัยพยายามหาทางใช้วัสดุทดแทนที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงของเดิมมากที่สุดและเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ผศ.ดร.ภาสกร ปนานนท์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำลังวางแผนสำรวจธรณีฟิสิกส์เพิ่มเติม ด้วยการใช้ Ground Penetrating Radar (GPR) ซึ่งใช้หลักการส่งคลื่นวิทยุลงไปในพื้นดินได้ที่ความลึก 2-5 เมตร ขึ้นอยู่กับสภาพชั้นดินและอุปกรณ์ โดยจุดที่สนใจ ได้แก่ ระเบียงวิหารและภายในวิหารที่อาจมีโครงสร้างเก่า รวมถึงภายในวัดที่คาดว่าจะมีเจดีย์มุมองค์เดิมอยู่ โดยจะทำงานร่วมกับคณะทำงานมรดกโลก วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร และสำนักศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราช เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการศึกษาด้านโบราณคดี อีกทั้งสำรวจองค์พระธาตุด้วยเครื่องมืออื่น เช่น อัลตราโซนิค ที่สามารถทะลุได้มากกว่า 10 เมตร เพื่อทดสอบสมมติฐานเบื้องต้น รวมถึงเครื่องมืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน
“โดยสรุปในด้านความมั่นคงตามหลักวิศวกรรม ตัวองค์พระบรมธาตุเจดีย์ถือว่าทุกส่วนมีความมั่นคงแข็งแรงเมื่อพิจารณาเทียบกับอายุของโครงสร้าง เนื่องจากได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ส่วนการห้ามรถบรรทุกวิ่งผ่านวัดแม้แทบจะไม่มีผลกระทบต่อองค์พระบรมธาตุเจดีย์ แต่ก็ควรห้ามรถใหญ่วิ่งต่อไป เพราะถือเป็นมาตรการในการอนุรักษ์วัดพระมหาธาตุฯ ของท้องถิ่นที่มีผลต่อการพิจารณาของยูเนสโกด้วย และขอเสนอให้มีการตรวจติดตามสภาพในอนาคตด้วยเทคโนโลยีที่สามารถทำเองได้และถ่ายทอดสู่ผู้ดูแล” หัวหน้าโครงการวิจัยกล่าว พร้อมระบุว่าหากต้องการคุณภาพของวัดที่ดีขึ้นควรจะต้องมีการทำวิจัยมากขึ้น พร้อมกับการดูแลโบราณสถานจากทางจังหวัดและประชาชน โดยอยากให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์โบราณสถานให้คงอยู่สืบไป ทำอย่างไรจึงจะเกิดศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาในกลุ่มเยาวชน กระบวนการเรียนรู้ในห้องเรียนอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องมีกระบวนการประเมิน ปรับหลักสูตรการเรียนพระธาตุศึกษาให้สนุกสนานมากขึ้น รวมถึงสร้างมาตรฐานให้ชาวนครศรีธรรมราชปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ชนรุ่นหลัง
เช่นเดียวกับ รศ. ดร.ชนาธิป ผาริโน ผู้อำนวยการฝ่ายสวัสดิภาพสาธารณะ สกสว. ที่เผยว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้เกิดการอนุรักษ์และพัฒนาที่ยั่งยืนคือ ต้องสร้างคน ใช้ทรัพยากรที่ชุมชนมีอยู่ในการเป็นเจ้าของ กำหนดเทศบัญญัติชุมชน และสร้างกิจกรรมต่าง ๆ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมกันดูแลทรัพยากรสาธารณะและสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ เพื่อส่งต่อสิ่งที่มีคุณค่าไปสู่อนาคต รวมถึงเป้าหมายเดียวกันในการยกระดับสู่มรดกโลก “สกสว.สนับสนุนทุนวิจัยเพิ่มเติมในการนำองค์ความรู้มาต่อยอดการอนุรักษ์วัดพระธาตุฯ นับเป็นโอกาสที่ดีมากที่เราจะได้มีส่วนร่วมสร้างวิธีการและความพร้อมของนักวิจัยและเครื่องมือ งานวิจัยจะเป็นส่วนสำคัญในการทำงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ สร้างความเข้มแข็งและสืบทอดการดูแลโบราณสถานให้ยั่งยืนต่อเนื่อง มากกว่าการเป็นมรดกของคนไทยคือการเป็นมรดกของประชากรโลก”
ด้าน อ.ศักดิ์พงษ์ นิลไพรัช ตัวแทนของชุมนในเขตเทศบาล ฝากข้อคิดว่าการดูแลโบราณสถานเป็นหน้าที่สำคัญของคนในชุมชน ต้องระเบิดจากภายใน การพัฒนาวัดไม่ควรคิดแต่ความอลังการสมัยใหม่หากแต่ต้องให้ชาวบ้านเห็นประโยชน์ เป้าหมายของการเป็นมรดกโลกไม่สำคัญเท่ากับการทำให้ ‘พระธาตุสะอาด สว่าง สงบ’ การยอมรับของคนในชุมชนจะต้องสร้างด้วยศรัทธา เพื่อให้ชาวบ้านร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมภูมิใจ และร่วมกันได้รับประโยชน์ จึงจะเกิดเป็นพลังที่ยั่งยืน