สอวช. โชว์ศักยภาพคนรุ่นใหม่
งาน CEO Innovation Forum2019
สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดงานเสวนาแลกเปลี่ยนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมครั้งใหญ่ CEO Innovation Forum 2019 ภายใต้หัวข้อ “Empowering the Next Gen for the Future: ขุมพลังคนรุ่นใหม่แห่งอนาคต” ณ เมืองทองธานี โดยได้รับเกียรติจาก ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มาเป็นประธานในการเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “Next Gen, Science, Innovation & Entrepreneurship: New Waves of the Thai Economy”
ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมได้ก้าวเข้ามามีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ในภาคเศรษฐกิจเรากำลังก้าวเข้าสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสนับสนุนภาคบริการ นอกจากนี้ เทคโนโลยียังได้เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเราเสมือนเป็นปัจจัยที่ 5 ส่งผลให้สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกโฉมฉับพลัน กระทรวง อว. มีความสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต
แต่ไม่ใช่แค่กระทรวงจะสามารถขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตได้เพียงลำพัง พวกเราทุกคนคือ ผู้เปลี่ยนแปลงอนาคต (Future Changer) ถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องคิดการใหญ่เปลี่ยนกระบวนทัศน์จาก Me – Society เป็น We – Society คิดเพื่อส่วนรวม เปลี่ยนความคิดจากธรรมชาติคือทรัพยากร เป็น ธรรมชาติเป็นแหล่งกำเนิดที่ยืมมาใช้แล้วต้องคืนกลับเพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้ใช้ และไม่ต้องรอผลัดวันประกันพรุ่งว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องอนาคต แต่เราต้องคิดว่า Future is Now ประเทศไทยจึงจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
ด้าน ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านจากกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาสู่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นการยกระดับขอบเขตการทำงานให้ครอบคลุมถึงมิติด้านกำลังคน มุ่งทำงานในเชิงรุกมากกว่าที่ได้เคยมีมาในอดีต ด้วยการผสานกับระบบการอุดมศึกษา ซึ่งเป็นเบ้าหลอมที่สำคัญยิ่งของทรัพยากรมนุษย์ของชาติ เข้ากับระบบโครงสร้างด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ให้มีความเชื่อมต่อเพื่อเป้าหมายของการผลิตทรัพยากรกำลังคนในทุกสาขาวิชาโดยมุ่งเน้นตอบสนองความต้องการของตลาดและภาคธุรกิจ เป็นบัณฑิตที่สามารถเชื่อมต่อองค์ความรู้จากการศึกษาและทฤษฎีในห้องเรียน ให้ออกสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและธุรกิจได้จริง สำหรับประเทศไทยเอง กระทรวงมุ่งหมายให้เกิดการสร้างโอกาสและให้พลังขับเคลื่อนแก่คนรุ่นใหม่ ซึ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลักดัน ดูแล และรับผิดชอบสังคมและประเทศต่อไปในอนาคตอันใกล้ และเพื่อเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลได้มีมาตรการและกลไกขับเคลื่อนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น โครงการบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงาน ระหว่างสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ เข้ากับภาคอุตสาหกรรมจริง หรือที่เรียกว่า Work-integrated Learning หรือโครงการ Talent Mobility ที่ส่งเสริมให้บุคลากรผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันอุดมศึกษา และสถาบันวิจัยของรัฐ สามารถร่วมปฏิบัติงานในภาคอุตสาหกรรมจริงได้ และโครงการ Smart VISA ที่ให้โอกาสผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติเข้ามาปฏิบัติงานในประเทศไทย เพื่อถ่ายทอดและร่วมพัฒนาขีดความสามารถแก่ผู้ประกอบการและบุคลากรไทยผ่านการทำงานจริง
นอกจากนี้ ในมิติของการศึกษา ยังมีการส่งเสริมกรอบแนวคิดการยกระดับหลักสูตรและกระบวนการศึกษา เช่น การส่งเสริมบทบาทของมหาวิทยาลัยและสถาบันการอุดมศึกษาในการสร้างผู้ประกอบการ และการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการประกอบการหรือ Entrepreneurial University การปรับระบบหลักสูตรการเรียนการสอนแบบเน้นรายวิชา และการพัฒนาระบบธนาคารหน่วยกิต เป็นต้น และเพื่อเป็นการพัฒนากำลังคน และองค์ความรู้ของประเทศ รัฐบาลได้กำหนดแผนด้านการอุดมศึกษาและการพัฒนากำลังคนของประเทศ 5 ด้าน
ประกอบด้วย 1. การจัดสรรและเคลื่อนย้ายบุคลากรที่มีศักยภาพสูง เช่น โครงการ Brain Circulation และ โครงการ Talent Mobility 2. การส่งเสริมให้ผู้มีศักยภาพสูง สามารถทำงานตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม สังคมและชุมชน ผ่านโครงการย่อยด้านการใช้งานศักยภาพคน และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสถาบันการศึกษากับภาคอุตสาหกรรม 3. การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและเสริมสร้างทักษะเพื่ออนาคต ทั้งในเชิงของการติดอาวุธทางความรู้ให้แก่นักศึกษา ทั้งสายสามัญและสายอาชีวะศึกษา และการพัฒนาขีดความสามารถใหม่และการปรับตัวแก่บุคลากรที่อยู่ในวัยทำงาน รวมถึงการปลูกฝัง บ่มเพาะทักษะแก่เยาวชน
4. การส่งเสริมให้เกิดมหาวิทยาลัยแห่งการประกอบการ และการสร้างธุรกิจนวัตกรรม ผ่านรากฐานจากมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษา ทั้งในรูปของกองทุน การสร้างธุรกิจโดยอาจารย์ บุคลากร และนิสิตนักศึกษา และการส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายความร่วมมือของศิษย์เก่าและปัจจุบัน เป็นต้น และ 5. การปฏิรูประบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาของประเทศไทย ทั้งในแง่การจัดสรรงบประมาณ การปรับปรุงหลักสูตรและกรอบการดำเนินงาน และการจัดเก็บฐานข้อมูลและการวัดประเมินผลต่างๆ อย่างไรก็ตาม งาน CEO Innovation Forum 2019 ภายใต้หัวข้อ “Empowering the Next Gen for the Future: ขุมพลังคนรุ่นใหม่แห่งอนาคต” ที่จัดขึ้นในวันนี้ ถือเป็นเวทีสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ที่จะมาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพทางความคิด ริเริ่ม ในการสร้างธุรกิจ และแลกเปลี่ยนแนวคิดเพื่อการพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม
นอกจากนี้ ดร.กิติพงค์ ยังได้เปิดเผยข้อมูลในช่วงหนึ่งของการบรรยายหัวข้อ “Thailand in Transition & Roles of the NextGen” ว่า สอวช. ได้มีการวางเป้าหมายในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ในปี พ.ศ. 2565 โดยตั้งเป้าอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย (IMD World Competitiveness Center) อยู่อันดับที่ 20 จากทั้งหมด 63 ประเทศ อันดับความสามารถทางการแข่งขันด้านวิทยาศาสตร์ (IMD World Competitiveness Center) อยู่อันดับที่ 30 จากทั้งหมด 63 ประเทศ มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา ต่อ GDP ของประเทศ เพิ่มเป็น 1.5 เปอร์เซ็นต์ ต่อ จีดีพี หรือประมาณ 280,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนจากภาคเอกชน 70% หรือ คิดเป็น 196,000 ล้านบาท และเป็นการลงทุนจากภาครัฐ 30% หรือคิดเป็น 84,000 ล้านบาท รวมถึงได้ตั้งเป้าจำนวนสิทธิบัตรที่มีผลบังคับใช้เท่ากับ 50 รายการ ต่อประชากร 1,000,000 คน และสามารถผลิตผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิชา STEM คือ วิชาที่เกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และ คณิตศาสตร์ (Mathematics) เพิ่มเป็น 40 % ต่อผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีในปีนั้น
นอกจากเป้าหมายในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อววน. แล้ว ในปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลได้มีการจัดงบประมาณสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม ด้วยเม็ดเงิน 24,645 ลบ. ตามนโยบายและยุทธศาสตร์ อววน. พ.ศ. 2563 – 2570 ทั้งหมด 4 แพลตฟอร์ม ประกอบด้วย 1. การพัฒนากำลังคนและสถาบันความรู้ 2. การวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ใหญ่ของสังคม 3. การวิจัยและนวัตกรรมเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และ 4. เพื่อพัฒนาพื้นที่และลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งมีใน 4 แพลตฟอร์มข้างต้นมีหลายโครงการใหญ่ที่สามารถสร้างผลกระทบต่อประเทศได้ อาทิ BCG in Action โครงการปักธงของกระทรวงที่จะสามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ BCG ได้ถึง 4.4 ล้านล้านบาท สร้างงานรายได้สูง 8 ล้านตำแหน่ง สร้างรายได้เกษตรกรเพิ่มเป็น 150,000 บาท/คน/ปี (ปัจจุบัน รายได้เกษตรกร 58,000 บาท/คน/ปี) ลดนำเข้าแร่ 16 ล้านตัน/ปี ตลอดจนลดขยะ 3 ล้านตัน/ปี ซึ่งทั้งหมดนี้ คาดว่าจะเห็นผลได้ในปี 2567
นอกจากนี้ ยังมีโครงการชุมชนนวัตกรรม, Startup, Frontier research, Reskill/upskill ตลอดจนโครงการ Reinventing University System เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แต่ละโครงการจะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยทั้ง Brain Power และ Manpower จากคนรุ่นใหม่มาขับเคลื่อน เพราะจะได้แนวคิดใหม่ที่ต่างจากวิธีการเดิมๆ…