“Atelier Residence” มิติใหม่
ฉีกทุกกฎแห่งความลักซ์ชัวรี่
ตลาดอสังหาริมทรัพย์บ้านเรากลับมาคึกคักส่งท้ายปี กับการทยอยเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้แต่ผู้เล่นหน้าใหม่ที่น่าจับตามองอย่าง เอแลนด์ ดีเวลอปเมนท์ ภายใต้การนำของธรา ชัยวิชิตธรากุล และ ปัณฑารัตน์ ศานติมงคลวิทย์ สองผู้บริหารคนเก่ง ผู้มีแพชชั่นอันแรงกล้าที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในมิติใหม่ เติมเต็มช่องว่างในตลาดที่อยู่อาศัย โดยหลังจากประสบความสำเร็จจากโครงการโฮมออฟฟิศ ย่านศรีนครินทร์ที่ได้รับกระแสตอบรับดีเกินคาด ขายหมดเกลี้ยงใน 3 เดือนทั้งคู่ก็เดินเครื่องลุยโปรเจกต์ต่อไปทันที โดยขยับมาเจาะกลุ่มลูกค้าอัลตร้าลักซ์ชัวรี่ พัฒนาโครงการ “Atelier Residence” สุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียง 8 หลัง ชู 4 จุดเด่น ตั้งแต่ทำเลใจกลางเมือง การออกแบบ ที่ไม่เหมือนใคร เพิ่มพื้นที่คอร์ตยาร์ตภายในบ้าน คัดสรรเฉพาะวัสดุเกรดพรีเมี่ยม พร้อมมอบ ความเป็นส่วนตัวสูง ทั้งหมดนี้เพื่อให้มั่นใจว่าผลงานที่ออกมาเลอค่าสมกับชื่อโครงการที่มีความหมายว่า “งานศิลปะ” สะท้อนความเป็นมาสเตอร์พีซอย่างแท้จริง
ปัณฑารัตน์ ศานติมงคลวิทย์ หนึ่งในผู้บริหารของเอแลนด์ ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด เผยถึงที่มาของโครงการ “Atelier Residence ” ว่าเป็นการหลอมรวมจากแพชชั่นและประสบการณ์ในวงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 10 ปี จนทำให้มีความเข้าใจตลาดที่อยู่อาศัย และความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี ทั้งนี้จากการศึกษาเทรนด์ ของอสังหาฯอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ทำให้กลับมาตั้งคำถามเสมอ คือ ทำไมเวลานึกถึงบ้านหรูระดับลักซ์ชัวรี่แล้ว คนส่วนใหญ่มักติดกรอบอยู่กับรูปแบบบ้านจัดสรรแบบเดิมๆที่เน้นความหรูหราอลังการเท่านั้น ซึ่งไม่ผิดนะ เพียงแต่เราเชื่อว่า ยังมีรูปแบบความลักซ์ชัวรี่ใหม่ๆที่น่าสนใจ ซึ่งเราอยากพัฒนาโครงการที่ฉีกกรอบนิยามความลักซ์ชัวรี่แบบเดิมๆ ในสไตล์ที่เราชอบและเชื่อว่ามีลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่มองหาและรอคอย ด้วยการสะท้อนความเรียบหรูแบบคลาสสิก เพิ่มสเปซคอร์ตยาร์ดกลางบ้านที่ช่วย เปลี่ยนบรรยากาศในบ้านให้ดูโล่งสบาย มีกลิ่นอายของเป็นรีสอร์ท เหมาะสำหรับการพักผ่อนและชาร์จพลัง เน้นการใช้วัสดุจากธรรมชาติเข้ามาเพิ่มความรู้สึกอบอุ่นเข้ามาในบ้าน
“ดังนั้น เมื่อได้ที่ดินในซ.สหการประมูล สี่แยกทาวน์อินทาวน์มา เราจึงตัดสินใจนำคอนเซ็ปท์ที่มีในใจมาพัฒนาโครงการ ซึ่งมีความได้เปรียบในแง่ความไพร์มของโลเคชั่น ซึ่งอยู่ในย่านใจกลางเมืองใกล้ย่าน New CBD อย่างพระราม9 -รัชดา สามารถเดินทางเข้าเมืองได้ง่าย ทะลุออกเอกมัย ทองหล่อ พระราม 9 ประดิษฐ์มนูธรรม ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ได้ในระยะไม่เกิน 5 กิโลเมตร นอกจากนี้รอบๆโครงการ ยังห้อมล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลชั้นนำ ห้างสรรพสินค้า และคอมมูนิตี้ มอลล์ อย่างโกลเด้นเพลส, เซ็นทรัล พลาซ่า แกรนด์ พระราม 9, เซ็นทรัล อีสต์วิลล์, เดอะ คริสตัล เอกมัย – รามอินทรา พร้อมตอบโจทย์การอยู่อาศัย ของทุกเจเนอเรชั่น”
นอกจากความไพร์มของโลเคชั่น ซึ่งเป็นหนึ่งในแต้มต่อสำคัญของการพัฒนาโครงการระดับอัลตร้าลักซ์ชัวรี่แล้ว การดีไซน์ก็เป็นอีกหัวใจสำคัญ ซึ่งทางเอแลนด์ได้ร่วมกับดีไซเนอร์ที่มีความชำนาญในการออกแบบ Private Residence มาร่วมออกแบบให้โครงการบ้านเดี่ยวสุดหรู 3 ชั้นให้เป็นมากกว่า บ้านจัดสรรทั่วไป แต่เป็นมาสเตอร์พีชของผู้ที่ได้ครอบครองอย่างแท้จริง
“จุดเด่นในการออกแบบโครงการ คือ การนำแนวคิด Oval Design มาใช้ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการได้ดั่งใจภายในอาณาจักรส่วนตัว ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกรบกวนจากภายนอก เพราะด้วยดีไซน์ของโครงการทำให้บ้านแต่ละหลังราวกับได้รับการห่อหุ้มให้ซ่อนตัวจากโลกภายนอก ขณะที่การตกแต่งภายใน เน้นความอบอุ่น โฮมมี่
และหนึ่งในไฮไลท์ที่ลูกบ้านทุกหลังจะได้เป็นเจ้าของ คือ กำแพงอิฐสีเทาที่สูงตระหง่าน เลอค่าด้วยกรรมวิธีการผลิตระดับแฮนด์เมด ฝีมือคนไทย ที่บรรจงใช้ดินสีเทามาเผาทีละเตาเพื่อให้ได้อิฐแต่ละก้อนที่ไม่เพียงทนทานสูง ต่อให้กาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนสีก็ไม่เฟด ที่สำคัญไม่ต้องการการดูแลรักษาเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับการเลือกใช้ไม้จริงเข้ามาเป็นอีกส่วนผสมในการออกแบบ เพื่อเพิ่มความอบอุ่น สบายตาภายในบ้าน เช่นเดียวกับพันธุ์ไม้ที่เลือกมาไว้ภายในคอร์ตยาร์ดกลางบ้านก็คัดสรรพันธุ์ไม้มงคลไม่ต้องกังวลว่ารากจะชอนไชทำให้บ้านเสียหาย”
ปัณฑารัตน์ ยังเสริมด้วยว่า ที่กล่าวมาเป็นแค่ส่วนหนึ่งของรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่เราใส่ใจ เพื่อส่งมอบให้ลูกค้า ซึ่งเธอมองว่า เป็นข้อดีของการเป็นดีเวลลอปเปอร์รายเล็ก จึงเปิดโอกาสให้ผู้บริหารสามารถลงรายละเอียดทั้งในส่วนที่ลูกค้าจะสัมผัสได้ และสัมผัสไม่ได้จนกว่าจะเข้ามาเป็นเจ้าของ
“อีกหนึ่งความใส่ใจที่เรามองเผื่ออนาคต คือ การออกแบบถนนในโครงการให้กว้างถึง 11 เมตรถามว่าทำไม เราไม่เอาพื้นที่ถนนมาเพิ่มเนื้อที่บ้าน เพื่อขายลูกค้าได้เพิ่ม คำตอบ คือ เราคิดเผื่อสำหรับลูกบ้านเวลามีแขกมาหา หรือ มาปาร์ตี้ แล้วที่จอดรถที่เตรียมไว้ให้ 6 คันไม่พอ แขกก็ยังสามารถจอดรถหน้าบ้านได้เลย โดยไม่รบกวนเพื่อนบ้าน มองดูอาจเป็นเรื่องเล็ก แต่เราคิดใหญ่ว่า ถ้าลูกบ้านอยู่ไปแล้วเจอปัญหานี้จะมาแก้ทีหลัง เพิ่มความกว้างถนนในโครงการก็สายไปแล้ว เพราะฉะนั้นเราคิดเผื่อและทำให้เลย เช่น เดียวกับงานวางระบบและโครงสร้างบ้าน เราให้ความสำคัญมาก เพราะมองว่า โครงสร้างบ้านก็เปรียบเหมือนกระดูกของคนเรา ถ้ากระดูกตรง สรีระสวย ต่อให้จะเปลี่ยนลุค เปลี่ยนทรงผมเมื่อไหร่ก็ได้ เหมือนกับบ้าน จะตกแต่งภายใน เปลี่ยนวอลเปเปอร์ใหม่กี่ครั้งก็ได้ แต่สำคัญโครงสร้างบ้าน งานระบบต้องวางไว้อย่างดีก่อน”
เผยถึงความพิเศษของโครงการที่ไร้ที่ติแล้ว ถามถึงมุมมองที่มีต่อความท้าทายในการเป็น ดีเวลลอปเปอร์ขนาดเล็กที่เข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดอสังหาฯที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด ปัณฑารัตน์ มองว่า ตลาดลักซ์ชัวรี่บ้านเราวันนี้ยังมีอนาคต และยังไม่อิ่มตัว ขอเพียงแต่ดีเวลลอปเปอร์สามารถพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าระดับบนได้ เพราะตราบที่เขารู้สึกว่าคุ้มค่ากับการเป็นเจ้าของ ราคาไม่ใช่ปัญหา ซึ่งเธอเชื่อมั่นว่าทั้ง 8 ยูนิตของโครงการน่าจะปิดการขายได้ภายใน 2 ปี
“เราไม่ได้มองว่าวันนี้เรากำลังพัฒนาโครงการเพื่อแข่งกับดีเวลลอปเปอร์เจ้าใหญ่ แต่เรามองภาพตัวเองว่าเป็นดีเวลลอปเปอร์น้องใหม่ที่เชื่อในความจิ๋วแต่แจ๋ว ความคล่องตัวในการทำงาน พร้อมจะลงลึก ทุกรายละเอียดเพื่อส่งมอบโครงการที่สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าสูงสุด ซึ่งความเล็กพริกขี้หนูของเรา เป็นข้อได้เปรียบ ทำให้เราสามารถพัฒนาที่ดินที่ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีความไพร์มของโลเคชั่น เป็นโครงการบ้านเดี่ยวกลางเมืองได้ ในขณะที่ดีเวลลอปเปอร์เจ้าใหญ่อาจจะไม่ทำ”
สำหรับแผนการในอนาคต ปัณฑารัตน์ ทิ้งท้ายว่า ยังมีแผนจะพัฒนาโครงการใหม่ๆต่อไป ส่วนจะในรูปแบบบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม หรือ โฮมออฟฟิศ คงต้องดูเทรนด์ในตลาด และศึกษาองค์ประกอบต่างๆ แต่ตอนนี้ขอเลือกโฟกัสโครงการ “Atelier Residence” ซึ่งพร้อมแล้วที่จะเปิดบ้าน ให้ผู้ที่สนใจเข้าชม และเป็นเจ้าของ
“ด้วยความเป็นบูทีค ดีเวลลอปเปอร์ เราไม่ทำอะไรใหญ่เกิน แต่พัฒนาทุกโครงการด้วยความเชื่อมั่นและมั่นใจ เพราะฉะนั้น ตอนนี้เราเลือกที่จะทุ่มเทให้โครงการนี้แบบเกินร้อย” ปัณฑารัตน์ทิ้งท้าย