บริษัทตั้งใหม่เดือนพ.ค.63 ธุรกิจก่อสร้างอาคาร -อสังหาฯ-ขนส่งมากสุด -เลิกกิจการ 905 ราย
นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยข้อมูลการจดทะเบียนธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประจำเดือนพฤษภาคม 2563 มีมากกว่า 4,000 ราย โดยเป็นธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจขนส่งมากสุด เลิกกิจการจำนวน 905 ราย
รายละเอียด มีดังนี้
ผลการจดทะเบียนธุรกิจ
ธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนพฤษภาคม2563
• จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศในเดือนพฤษภาคม 2563 จำนวน 4,195 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 9,672 ล้านบาท
.
• ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 502 ราย คิดเป็นร้อยละ 12 รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 172 ราย คิดเป็นร้อยละ 4 และอันดับ 3 คือ ธุรกิจขนส่งและขนถ่ายสินค้า รวมถึงคนโดยสาร จำนวน 128 ราย คิดเป็นร้อยละ 3 ตามลำดับ
.
• ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 3,136 ราย คิดเป็นร้อยละ 74.76 รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 1,001 ราย คิดเป็นร้อยละ 23.86 ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 52 ราย คิดเป็นร้อยละ 1.24 และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 6 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.14 ตามลำดับ
ธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนพฤษภาคม 2563
.
• จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ประจำเดือนพฤษภาคม 2563 มีจำนวน 905 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 2,975 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา • ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 109 ราย คิดเป็นร้อยละ 12 รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 43 ราย คิดเป็นร้อยละ 5 และธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการจัดการ จำนวน 27 ราย คิดเป็นร้อยละ 3 ตามลำดับ
.
• ธุรกิจเลิกประกอบกิจการแบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 645 ราย คิดเป็นร้อยละ 71.27 รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 221 ราย คิดเป็นร้อยละ 24.42 ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 37 ราย คิดเป็นร้อยละ 4.09 และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 2 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.22 ตามลำดับ ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ เดือนพฤษภาคม 2563
.
• ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้น (ณ วันที่ 31 พ.ค. 63) ธุรกิจที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน768,371 ราย มูลค่าทุน 18.45 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 188,350 ราย คิดเป็นร้อยละ 24.51 บริษัทจำกัด จำนวน 578,755 ราย คิดเป็นร้อยละ 75.32 และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,266 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.17 ตามลำดับ
.
• ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่แบ่งตามช่วงทุน ธุรกิจส่วนใหญ่มีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 454,308 ราย คิดเป็นร้อยละ 59.13 รวมมูลค่าทุน 0.40 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.17 รองลงมา คือ ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 226,395 ราย คิดเป็นร้อยละ 29.46 รวมมูลค่าทุน 0.75 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.07 ช่วงถัดไปคือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 71,915 ราย คิดเป็นร้อยละ 9.36 รวมมูลค่าทุน 1.95 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.57 และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 15,753 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.05 รวมมูลค่าทุน 15.35 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 83.20 ตามลำดับ
.
การลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าวเดือนพฤษภาคม2563
• เดือนพฤษภาคม 2563 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น มีจำนวน 45 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จำนวน 20 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ จำนวน 25 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 11,314 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2563 จำนวน 5,062 ล้านบาท เนื่องด้วยมีนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI หรือประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนจดทะเบียนสูง โดยเป็นการประกอบธุรกิจสนับสนุนบริษัทในเครือ/ในกลุ่มที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปิโตรเคมี และกิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-COMMERCE) โดยเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มกลางสำหรับจำหน่ายเครื่องจักรอุตสาหกรรม เป็นต้น
.
• นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 6 ราย เงินลงทุน 122 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ จำนวน 4 ราย เงินลงทุน 62 ล้านบาท และฮ่องกง จำนวน 2 ราย เงินลงทุน 28 ล้านบาท