เรื่องจริงต้องรู้…/ช. พิทักษ์ .. “สิงคโปร์จากเมืองกุ๊ยสู่ประเทศเจริญสุด ๆ” (3)
มา ๆ ๆ ๆ สิงคโปร์กันอีก โดยคราวนี้เพื่อดู ลี กวน ยู มหาบุรุษโลกปลายศตวรรษ 20 ยกระดับสิงคโปร์ได้อย่างไร ยกระดับจากเมืองกุ๊ยเป็นประเทศเจริญสุด ๆ ตอนที่แล้วพูดถึงลีได้กลับจากสหราชอาณาจักรปี 1949 หรือ 2492 จากนั้นเข้าทำงานเป็นนักกฏหมายประจำสำนักแห่งหนึ่ง
(https://learn.asialawnetwork.com/2016/08/08/celebrating-lee-kuan-yew-the-lawyer/)
และระหว่างนั้นได้รับจ้างเป็นทนายความให้จำเลยในคดียุยงแบ่งแยกสิงคโปร์ออกจากกลุ่มประเทศแหลมมลายู ปรากฏว่า เขาพลิกความคาดหมายด้วยการชนะคดี ส่งผลให้เขาได้เป็นบุคคลมีชื่อเสียงระดับวีรบุรุษ
จากนั้นเขาก้าวเข้าสู่เวทีการเมืองด้วยการเข้าไปช่วยนักเรียนมัธยมที่ตกเป็นจำเลยคดีก่อจลาจลโดยนักเรียนกลุ่มนี้เป็นสมาชิกสหภาพนักเรียนมัธยมเชื้อสายจีน ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งมลายูอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นจึงเท่ากับลีเริ่มอาชีพการเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์
อย่างไรก็ดี ไม่นานมีการก่อตั้งพรรค People’s Action Party อักษรย่อ PAP หรือพรรคกิจสังคม ซึ่งเป็นพรรคปกครองสิงคโปร์จนทุกวันนี้ ปีก่อตั้งคือ 1954 หรือ 2497 หรือ 66 ปีที่แล้ว ลีสมัครเป็นสมาชิก และในการประชุมใหญ่ครั้งแรกของพรรค
ลีได้รับเลือกเป็นเลขาธิการ งานแรกที่เขาทำคือ การตั้งกลุ่มสมาชิกที่จะติดต่อพูดคุยกับสมาชิกองค์กรการค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าและนักธุรกิจที่นิยมและฝักไฝ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งก่อนหน้านั้นเพิ่งก้าวขึ้นปกครองจีนแผ่นดินใหญ่
(https://www.asiaone.com/singapore/lee-kuan-yew-young-politician-1949-1965)
ทำเช่นนี้เพื่อกลุ่มที่เขาเข้าร่วม ซึ่งสมาชิกมีการศึกษาสูงและมักพูดคุยกันด้วยภาษาอังกฤษ เพราะหลายคนพูดจีนไม่ได้ จะได้รับการยอมรับจากคนสิงคโปร์เชื้อสายจีน ขณะเดียวกันลียังดึงกลุ่มให้เข้าร่วมกับกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่รณรงค์เพื่อให้สิงคโปร์สิ้นสุดการเป็นอาณานิคมอังกฤษ
และกลายประเทศเอกราช แต่อย่างว่า การเมืองทั่วโลกไม่เฉพาะสิงคโปร์ขณะนั้นดุเดือดเผ็ดร้อน
ดังนั้นถึงลีจะพยายามเอาใจฝ่ายนิยมคอมมิวนิสต์เท่าไร แต่ก็ไม่วายโดนพวกนี้แทงข้างหลัง การแทงเกิดปี 1957 หรือ 2500 เมื่อพรรคกิจสังคมมีการเลือกตั้งใหญ่
และฝ่ายนิยมคอมมิวนิสต์ได้ว่าจ้างคนให้ปลอมตัวเป็นสมาชิกพรรคในการลงคะแนนเสียง
ทำให้สามารถคว้าตำแหน่งสำคัญได้ทุกตำแหน่ง โชคดีมีการจับกุมผู้ที่ปลอมตัวและลีได้รับตำแหน่งเลขาธิการคืน เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดกระแสกลัวคอมมิวนิสต์
ซึ่งมีส่วนเพื่มพูนความนิยมให้แก่พรรคกิจสังคมและตัวนายลีเอง ดังนั้นเขาจึงชนะการเลือกตั้งซ่อมปีดังกล่าวอย่างถล่มทลาย โดยเป็นการเลือกตั้งที่เกิดหลังมุขมนตรีในขณะนั้นได้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อรับผิดชอบการล้มเหลวในการเจรจาขอรับเอกราชจากอังกฤษ
โดยเขาได้ท้าลี กวนยู คู่ปรับของเขาในฐานะผู้นำฝ่ายค้านให้ลาออกและลงสมัครด้วย ซึ่งลีก็ได้ทำ
อีกสองปีต่อมามีการเลือกตั้งใหญ่ตามรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจสิงคโปร์ปกครองตัวเอง โดยให้ก่อนได้รับเอกราช ปรากฏว่า คราวนี้พรรคกิจสังคมสามารถคว้าที่นั่งในสภาได้ถึง 43 ที่นั่ง
จากทั้งหมด 51 ที่นั่ง ผลคือ ลีได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงก่อนได้รับเอกราช
คำภาษาอังกฤษที่ใช้เรียกคือ prime minister,pre indepedence 1959-1965 นายกรัฐมนตรีช่วงก่อนได้รับเอกราชปี 2502-2508
(https://www.pinterest.com/pin/549439223265916726/)
ส่วนรัฐบาลที่เขาเป็นหัวหน้าถูกเรียก self-government admistration องค์กรรัฐบาลปกครองตัวเอง ยังไม่ได้ถูกเรียก government รัฐบาล เนื่องจากยังไม่มีอำนาจปกครองเบ็ดเสร็จ คือมีอำนาจทุกด้านยกเว้นการกลาโหมและการต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี คนที่เป็นนายกรัฐมนตรียังถูกเรียก prime minister และนี่เป็นตำแหน่งที่ลีได้รับเมื่อปี 1959 หรือ 2502 และเป็นยาวนานจนถึงปี 1990 หรือนาน 31 ปี โดยระหว่างนั้นมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น
เมื่อสิงคโปร์ได้ควบรวมประเทศเข้ากับมาเลเซียปี 1963 หรือ 2506 เพื่อก่อตั้งสหพันธรัฐมาเลเซีย แต่อยู่ด้วยกันแค่สองปีสิงคโปร์ถูกขับ หลังมีการเคลื่อนไหวประท้วงการควบรวม
อีกทั้งพรรคกิจสังคมของสิงคโปร์ยังมีเรื่องทะเลาะกับพรรคแนวร่วมที่ปกครองมาเลเซียเป็นประจำ
และนี่เป็นที่มาของการสัมภาษณ์ครั้งประวัติศาสตร์เมื่อลีกวนยูได้กล่าวว่า ช่วงเวลานั้นเป็น”ช่วงแห่งความปวดร้าว”ที่เขาต้องประสบ เพราะสิ่งทื่เขาได้วางไว้เพื่อให้สิงคโปร์รอดพ้นจากการเป็นประเทศไร้ทรัพยากรธรรมชาติ
(https://www.tnp.sg/news/singapore-news/1965-singapore-splits-malaysia)
ประเทศที่ต้องเผชิญภาวะขาดความมั่นคง เนื่องจากประเทศต่าง ๆ ในโลกมีการทะเลาะกระทบกระทั่งเป็นประจำ อีกทั้งสิงคโปร์ยังมีประชากรหลากหลายเชื้อชาติ ดังนั้นจึงยากที่จะให้ประเทศมีความสมัครสมานสามัคคี
ทั้งหมดทำให้เขามองการให้สิงคโปร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมาเลเซียเป็นการแก้ปัญหา แต่กลับทำไม่ได้
ด้วยเหตุผลดังกล่าวเขาจึงกำหนดแนวทางการปกครองสิงคโปร์หลังแยกตัวไว้ว่า สิงคโปร์จะต้องมีรัฐบาลที่กุมอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ อีกทั้งยังจะต้องเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แน่นอนการทำเช่นนี้ย่อมถูกคนในประเทศไม่น้อยคัดค้าน
อีกทั้งยังถูกประเทศทั่วโลกทั้งที่เป็นมิตรและไม่เป็นมิตรมองอย่างระแวงสงสัย
แต่ด้วยมันสมองอันปราชญ์เปรื่องของลี เพื่อให้รอดพ้นคำครหาและการระแวงสงสัยทั้งหลาย ลีจึงกำหนดแนวทางการปกครองที่ทำให้สิงคโปร์ต้องเป็นประเทศปลอดการทุจริต อีกทั้งต้องมีระบบเศรษฐกิจที่มีความเป็นเสรีนิยมครบถ้วน
(https://www.voanews.com/east-asia/singaporeans-call-abuse-power-inquiry#&gid=1&pid=1)
ซึ่งตอนนั้นอย่าว่าแต่คนอื่นและประเทศอื่นจะมองสิงคโปร์ทำไม่ได้ แม้กระทั่งตัวเขาเองยังคิดว่า คงยาก เนื่องจากวัฒนธรรมคนเอเซียตะวันออกที่มองการให้สิ่งตอบแทนเป็นเรื่องสำคัญ ใครทำอะไรให้คนที่ได้รับจะต้องตอบแทน
ยิ่งถ้าเป็นเรื่องผิดกฏหมายด้วยแล้วยิ่งจะต้องตอบแทน ซึ่งก็เลยกระพือการทุจริตให้ปกคลุมทวีป
ถึงตรงนี้คงอยากรู้ลีทำอะไรบ้างประเทศปลายคาบสมุทรแห่งนี้ถึงเจริญผิดหูผิดตาในเวลาอันรวดเร็ว ไม่อยากลงลึกรายละเอียด อยากบอกแค่คร่าว ๆ เพื่อพื้นที่ทั้งหลายในไทยจะได้นำไปใช้ ทั้งพื้นที่ ๆ เจริญแล้วและยังไม่เจริญ
ลอง ๆ ๆ ดูสิงคโปร์เป็นตัวอย่าง เผื่อจะได้เจริญแบบสิงคโปร์บ่้าง อย่าลืมสิงคโปร์มีพื้นที่เพียง 726 ตารางกิโลเมตร หรือเล็กว่ากรุงเทพฯกว่าเท่าตัว อีกทั้งยังมีประชากรแค่ 5.7 ล้าน น้อยกว่ากรุงเทพฯที่มี 8.3 ล้าน แสดงว่า ไทยเองมีชุมชนหลายแห่งที่มีขนาดไม่แพ้สิงคโปร์
(https://mothership.sg/2016/06/ang-moh-answers-why-do-people-hate-singapore-with-a-2033-word-essay/)
(https://www.thousandwonders.net/photo/2001)
ดังนั้นถ้าเมืองเล็กเมืองใหญ่ รวมทั้งชุมชนเล็กชุมชนใหญ่ ทั่วไทย เอาวิธีพัฒนาแบบสิงคโปร์มาใช้ย่อมจะเจริญได้เหมือนกัน วิธีสิงคโปร์เป็นอย่างไรจะบอกสัปดาห์หน้า ตอนนี้ขอบอกเพียงใครได้อ่านรับรองต้องตกเก้าอี้ ๆ ๆ ๆ
ขอบคุณภาพแรกจาก-https://www.nytimes.com/