เรื่องจริงต้องรู้…/ช. พิทักษ์ .. “สิงคโปร์จากเมืองกุ๊ยสู่ประเทศเจริญสุด ๆ” (4)
มา ๆ ๆ ขยับเก้าอี้เข้ามา แต่ระวังตก มารับรู้เคล็ดความสำเร็จของ “ลี กวนยู” ในการพัฒนาสิงคโปร์ ทั้งนี้ก่อนอื่นขอขอบคุณรัฐบาลพลเอกประยุทธที่ได้รณรงค์ให้ความรู้ประชาชนเรื่องการใช้สิทธิ์เบื้องต้นตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
(https://www.facebook.com/sharedsaradd/posts/725925841197753/)
(http://www.kpppao.go.th/infocenter/content/history)
ซึ่งการใช้ก็คือ การเปิดทางให้ประชาชนสามารถส่งจดหมายเข้าไปสอบถามหน่วยงานรัฐเพื่อรับรู้เรื่องที่กำลังทำ รวมทั้งที่กำลังสงสัย และนี่เป็นวิธีปราบโกงที่แทบจะดีที่สุด
ส่วนวิธีที่ดีกว่าก็คือ การอบรมข้าราชการให้ตระหนักถึงความยากลำบากที่ตัวเองจะได้รับหากถูกดำเนินคดีฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งน้อยคนรู้ และเมื่อต้องเผชิญเป็นความยากแค้นแสนสาหัส
นับตั้งแต่การเดินขึ้นโรงพักและศาล ว่าจ้างทนายความ ต้องพาคนใกล้ตัวไปด้วย ทั้งหมดอาจกินเวลานาน จนเงินที่ได้จากโกงไม่คุ้มกับความลำบากที่ได้รับ
ยังไม่นับผลกระทบต่อคนใกล้ตัวรวมทั้งลูก เช่นลูกถูกเพื่อนบูลลี่หรือล้อเลียนรังแก ถูกโรงเรียนปฏิเสธไม่ให้เข้าเรียน และเมื่อเข้าไปในเรือนจำอย่าคิดว่าจะพ้นทุกข์
(https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/858979)
เพราะมีเงิน มีญาติพี่น้องไปเยี่ยม พร้อมด้วยของกินดี ๆ ทุกข์ยังจะมีเนื่องจากนักโทษด้วยกันจะจัดอันดับผู้ทุจริตให้เป็นพวกไม่ควรคบ ไม่ควรให้อยู่ใกล้ ลำบาก ๆ ๆ ๆ
เอาละ! ชาวชุมชนไทยและผู้บริหารที่เข้ามาเพื่อรับรู้เคล็ดความสำเร็จของยอดมหาบุรุษผู้พัฒนาเมืองเล็ก ๆ คราคร่ำไปด้วยกุ๊ย ให้เจริญรุ่งเรืองเป็นประเทศแถวหน้า
(https://www.eco-business.com/news/lee-kuan-yew-the-man-who-guided-singapore-from-slum-to-eco-city/)
อย่าตกใจเมื่อเห็นเคล็ดเป็นเรื่องง่าย ๆ ชุมชนไหนก็ทำได้ และทำรับรองต้องเจริญ ทำเลยชุมชนไทยไม่เล็กไม่ใหญ่ขนาดเท่าสิงคโปร์ ทำแล้วรับรองสิงคโปร์จะสู้ไม่ได้
เคล็ดแรกก็คือ ความสะอาด ใช่แล้วความสะอาด ซึ่งนอกจากความสะอาดทางภูมิทัศน์ ยังมีทางธุรกรรมไม่ว่ารัฐและเอกชน ความสะอาดทางภูมิทัศน์เป็นเรื่องยาก
ยากในยุคก่อนและหลังลีก้าวขึ้นสู่อำนาจ คือ ทั่วเอเซียก่อนสิงคโปร์เริ่มเจริญ ถนนหนทางทุกประเทศล้วนสกปรก ทุกประเทศยกเว้นญี่ปุุ่น
(https://ghanatalksbusiness.com/2019/11/cleanliness-tips-to-learn-from-japan/)
ที่เป็นเช่นนี้เพราะบ้านคนญี่ปุ่นล้วนถูกสร้างเพื่อรับภัยธรรมชาติ ทั้งแผ่นดินไหวและพายุ ดังนั้นจึงต้องสร้างด้วยไม้อ่อนเพื่อให้รื้อถอนซ่อมแซมง่าย
อีกทั้งยังสร้างไม่สูงจากพื้นดิน เมื่อเป็นเช่นนี้แม่บ้านญี่ปุ่นจึงต้องขยันปัดกวาดบ้าน และคนในครอบครัวยังต้องช่วยกันปลูกต้นไม้เพื่อไม่ให้พื้นดินมีฝุ่น
นอกจากนี้ โรงเรียนญี่ปุ่นยังไม่จ้างภารโรง นักเรียนต้องผลัดกันเป็นภารโรงทำความสะอาด และนี่เองที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นประเทศเอเซียแห่งเดียวที่มีถนนหนทางสะอาด
(https://www.linkedin.com/pulse/japan-country-leading-international-cleanliness-swachh-survekshan)
ต่างจากประเทศอื่นในทวีปเดียวกันรวมทั้่งไทยที่ถนนหนทางล้วนสกปรก แถมยังสกปรกแบบสุด ๆ เพราะยังมีน้ำลายน้ำหมากร่วงหล่นเป็นแถบ ๆ มีการรณรงค์แต่ไม่เคยได้ผล
แม้กระทั่งจีนหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง และมีการออกกฏลงโทษรุนแรง แต่ประชาชนยังคงทิ้งขยะลงถนน รวมทั้งบ้วนน้ำลาย
จนกระทั่งจีนเข้าสู่ยุคเจริญมีชาวต่างประเทศเข้าไปเยือนความสะอาดจึงเริ่มเกิด ส่วนประเทศที่ควรยกเป็นตัวอย่างคือ ไต้หวัน ซึ่งถือโอกาสใช้การบังคับประชาชนให้รักษาความสะอาด
(https://livingnomads.com/wp-content/uploads/2018/10/31/taiwan-cleanlines5.jpg)
ให้มีระเบียบวินัยในการดำรงชีวิตเช่นให้รู้จักใช้ทางม้าลายข้ามถนน รู้จักแต่งกายที่เหมาะสม ฯลฯ ใครไม่ปฏิบัติมีการลงโทษรุนแรง ช่วงนั้นเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
และไต้หวันเพิ่งก่อตั้งประเทศ มีคนแถวเยาวราชเล่าให้ฟัง ไทยสมัยนั้นก็เอากับเขาด้วยเหมือนกัน โดยใช้ไต้หวันเป็นตัวอย่าง และไปทำที่เยาวราช แต่ไม่ได้ผลจนต้องเลิก
เยาวราชเพิ่งสะอาดเมื่อไม่กี่ปี หลังได้เป็นถนนคนเดินมีการขายอาหารบนทางเท้า โดยความสะอาดได้จากการหมั่นดูแลของห้างร้านเพื่อไม่ให้ทางเดินเท้าหน้าร้านเปรอะเปื้อน
(https://www.thaiticketmajor.com/variety/travel/4240/)
ไม่มีใครรู้ทำไม ลี กวนยู ถึงเลือกความสะอาดเป็นสิ่งที่ต้องทำอันดับแรก นอกจากสันนิษฐานผู้นำสุดฉลาดคนนี้คงเข้าใจเหตุผลที่คนสิงคโปร์ รวมทั้งเอเซียทุกแห่ง ยกเว้นญี่ปุ่น
ไม่รักษาความสะอาดถนนหนทาง เป็นเช่นนี้เพราะคนเหล่านี้เห็นเป็นพื้นที่ ๆ ไม่ใช่ของตัวเอง แต่เป็นของเจ้านาย ๆ ที่มียศศักดิ์รวมทั้งอิทธิพลอำนาจสูง
ดังนั้นจึงสามารถรักษาความสะอาดได้อยู่แล้ว ตัวเองไม่ต้องยุ่ง
และเพราะคิดเช่นนี้จึงทิ้งกระดาษ ทิ้งถุง ทิ้งบุหรี่ รวมทั้งถ่มน้ำลาย ตามอำเภอใจ ใครจะห้าม ใครจะขอร้อง ไม่เคยฟัง
(https://allthatsinteresting.com/littering-in-china)
ลี กวน ยูทำอย่างไรถึงทำให้คนสิงคโปร์รักความสะอาด และรู้จักรักษา ลีเริ่มทำด้วยการยกระดับความสะอาดที่ทำการหน่วยงานรัฐ รวมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์
ค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ ปรับปรุงเพื่อสร้างกระแส ครั้นพอเกิดกระแสจึงมีการบังคับควบคุมด้วยการออกฏหมาย มีการตั้งศาลเฉพาะเพื่อดำเนินคดีผู้ที่ถูกจับกุม
ใครไปสิงคโปร์สมัยนั้นตัองไปดู เพราะศาลมีทางขึ้นเป็นบันไดยาว ประกอบกับมีแถวผู้มารอการดำเนินคดีตั้งแต่เช้า ดังนั้นคนจึงสามารถเห็นหน้า
และนี่เป็นการประจานที่เจ็บปวด แถมโทษที่ได้รับยังหนัก โดยสมัยนั้นมีทั้งปรับและจำคุก ต่างจากทุกวันนี้ที่โทษปรับและจำคุกมีเฉพาะผู้ทิ้งขยะที่เป็นวัตถุชิ้นใหญ่
เช่นยวดยานและเครื่องใช้ในบ้าน โทษปรับคือ 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือ 230,000 บาท รวมทั้งอาจถูกจำคุกสูงสุด 3 เดือน
ส่วนที่หนักกว่านั้นถ้าเป็นวัตถุชิ้นมโหฬารก็คือ ปรับสูงสุด 50,000 ดอลลาร์ หรือ 1.15 ล้านบาท แต่ยัง ๆ ๆ ไม่สูงสุดเสียทีเดียว ถ้าขยะถูกขนขึ้นรถและนำไปทิ้ง
มีการปรับสูงสุด 100,000 ดอลลาร์ หรือ 2.3 ล้านบาท
รวมทั้งอาจถูกจำคุกตั้งแต่ 1 เดือนจนถึง 1 ปี เห็นหรือยังการลงโทษคนทิ้งขยะไม่เป็นที่ในสิงคโปร์
แถมยังไม่ไว้หน้า คือ เคยมีวัยรุ่นต่างประเทศลองของ โดยคิดว่า ตัวเองคงถูกยกเว้น แต่ในที่สุดก็ถูกลงโทษจนเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก
การรักษาความสะอาดในยุค ลี กวน ยู เป็นผู้นำ ถูกยกระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อบ้านเรือนและห้างร้านทั่วประเทศต่างปรับปรุงภูมิทัศน์ด้านหน้า จนดูทันสมัยพร้อมกัน
(https://www.habitusliving.com/architecture/namly-view-house-wallflower-architecture-design)
และในที่สุดสิงคโปร์จึงกลายเป็นประเทศสะอาดและทันสมัย แถมเมื่อไม่กี่ปี มีการรณรงค์ปลูกต้นไม้ ทำให้ได้เป็นประเทศสุดเขียวขจี ไปที่ไหนจะเห็นต้นไม้ทั้งในกระถางและบนพื้นดิน
(http://naturalwalkingcities.com/green-corridors-essential-urban-walking-and-natural-infrastructure/)
แต่ยัง ๆ ๆ ไม่จบลียังขยายความสะอาดไปสู่การทำธุรกรรมภาครัฐและเอกชน คงได้ยินกันแลัวถึงกิตติศัพท์การเป็นประเทศปลอดโกงของสิงคโปร์
ปลอดจนอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีการโกงแม้แต่นิดเดียว และเรื่องนี้เคยมีการพิสูจน์บ่อยครั้ง ทำไมถึงสิงคโปร์ถึงทำได้ต้องย้อนไปดูการดำเนินการของลีตอนเริ่ม
ทั้งนี้ต้องเข้าใจลีมีความเชื่อการให้สินบนและผลประโยชน์ตอบแทนผู้มีพระคุณเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนเอเซีย
เป็นมาช้านานจนซึมลึกเข้าไปในหัวใจ
ใครทำอะไรให้คนอื่น คนนั้นต่างหวังจะต้องได้รับสิ่งตอบแทน แล้วควรทำอย่างไรถึงจะให้คนเลิกคิดและทำเช่นนี้ คำตอบคือ การควบคุมอย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้เกิด กฏหมายมีอยู่แล้ว
แต่ยังมีช่องให้ละเมิด การปิดช่องก็คือ การปรับเงินเดือนและผลประโยชน์ของข้าราชการ โดยปรับให้เท่าพนักงานและเจ้าหน้าที่บริษัทและองค์กรเอกชน
คือไม่ว่าจะสูงเท่าไร ถ้าข้าราชการมีภาระหน้าที่เท่ากันจะต้องได้เงินเดือนและผลประโชน์เท่ากัน ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกใจที่เงินเดือนนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์
แต่ละปีจะมากถึง 2.2 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือ 50.6 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 183,000 ดอลลาร์ หรือ 4.21 ล้านบาท จำนวนที่สูงกว่าผู้นำทุกประเทศในโลก
(https://blog.seedly.sg/why-singapore-prime-minister-salary-so-high/)
ตั้งแต่ฮ่องกงไล่เรื่อยมาตามลำดับถึงสหรัฐอเมริกาสหราชอาณาจักรมาเลเซียและจีน โดยเริ่มจากฮ่องกงที่เงินเดือนผู้นำสิงคโปร์สูงกว่าผู้นำฮ่องกงกว่าหนึ่งเท่า
เอาละ สัปดาห์นี้ขอจบเท่านี้ แต่ประเด็นเงินเดือนยังไม่จบ ยังมีอีกเล็กน้อยที่เกี่ยวกับครู เตรียมอ่านสัปดาห์หน้า