เรื่องจริงต้องรู้…/ช. พิทักษ์ ..ศึกโควิด-19 ปี ’64 (จบ)
เกิดเรื่องๆๆ จีนไม่ยอมให้คณะค้นหาต้นตอโรคโควิด-19 องค์การอนามัยโลก หรือดับบลิวเอชโอ เดินทางเข้าประเทศ ทั้ง ๆ ที่ได้ตกลงแล้วจะอนุญาติ
การปฏิเสธเกิดขณะที่สมาชิกคณะ 2 คนเดินทางถึงกรุงปักกิ่ง โดยองค์การอ้างว่า จีนไม่ยอมให้วีซ่า ขณะที่จีนแย้งการเดินทางของคณะยังอยู่ในระหว่างการเจรจาที่ยังไม่ลงตัว
ข่าวนี้ใหญ่ท่้ามกลางกระแสการระบาดของโรคร้าย ที่เชื่อกันว่า มีต้นตอจากเมืองอู่ฮั่นในจีน ทั้งนี้ก่อนหน้านี้มีการเจรจาระหว่างจีนและองค์การ จนมีการตกลงกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่พอคณะเดินทางถึงจีนกลับไม่ได้รับอนุญาติ
ประเด็นนี้ถ้าจะว่าไปไม่แปลก เพราะจีนเคยทำเช่นนี้แล้วก่อนหน้า เหตุผลเชื่อกันว่่า คงกลัวภาพลักษณ์ประเทศจะเสียหาย โดยก่อนหน้าโดนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวหาเป็นตัวการทำให้โรคติดต่อร้ายระบาด
ยัง ๆ ๆ ๆ ไม่อยากเขียนประเด็นนี้ จะเขียนเมื่อคณะได้เข้าจีนและลงมือปฎิบัติงาน ตอนนี้ยังคงอยากให้ผู้อ่านรับรู้ถึงภัยโรคระบาด เพราะไม่มีวันทื่จะสิ้นสุด ภัยยังจะเกิดเรื่อย ๆ ด้วยโรคใหม่ทีก่อตัว
อย่างไรก็ดี หากไทยเก่งในการรับมือ อย่างที่กำลังแสดงให้ชาวโลกเห็นผ่านการรับมือโรคโควิด-17 ความเก่งอาจทำให้ทั้งประเทศและประชาชนมั่งคั่งในอนาคต
โดยเฉพาะบรรดาอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน หรืออสม. เตรียมตัวกันให้ดี หัดนั่งเครื่องบินลำเลียงไปยังประเทศใกล้เคียง หัดปีนเขาและเดินบนทางชัน เพราะจะมีงานฉีดวัคซีนให้ทำชนิดไม่มีสิ้นสุด
นายจ้างคือ บริษัทผลิตวัคซีนที่ล้วนเป็นบริษัทยากระเป๋าหนัก ภัยโรคระบาดจะไม่มีวันหายไปจากโลก ตราบใดที่ชาวโลกยังบุกรุกทำลายระบบนิเวศทุกวี่วัน
ยิ่งกว่านั้นการที่ชาวโลกปรับโหมดชีวิตความเป็นอยู่ยังจะทำให้ภัยเกิดขึ้นเรื่อย ๆ การปรับครั้งล่าสุดก็คือ การเปลี่ยนที่อยู่อาศัยจากแนวพื้นราบเป็นแนวดิ่ง
(https://www.theguardian.com/cities/2017/feb/04/the-building-creaks-and-sways-life-in-a-skyscraper)
มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาเกี่ยวกับการสร้างและการย้ายที่อยู่จากบ้านเป็นอาคารสูง เวลานี้แม้กระทั่งประเทศยากจนยังมีการสร้างอาคารห้องพักที่มีชื่อเรียกแฟลต รวมทั้งคอนโดก็ยังสร้าง
ซึ่งการปรับเช่นนี้กระทบกับสภาวะสุขอนามัย ถ้าย้อนหลังดูอดีต การระบาดของโรคร้ายครั้งใหญ่มักเกิดหลังชาวโลกเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิต ที่เห็นชัดเจนก็คือ การระบาดโรคกาฬโรคสมัยศตวรรษที่ 14
(https://nypost.com/2019/12/04/study-suggests-ancient-bubonic-plague-outbreak-was-exaggerated/)
ซึ่งเกิดหลังชาวโลกเดินทางติดต่อค้าขายกับจีน โดยยังทำเป็นล่ำเป็นสันด้วยการใช้เรือสำเภา ซึ่งเปิดโอกาสให้หนูติดเชื้อเล็ดรอดลงเรือจากจีนไปยุโรป
ทั้งนี้การคุกคามระบบนิเวศจะทำให้สัตว์ป่าเคลื่อนย้ายกันจ้าละหวั่น จนบางพันธ์อาจเผชิญโรคร้ายชนิดที่ไม่เคยปรากฏ โดยในกรณีโควิด-19 ที่กำลังสงสัยกันก็คือ ค้างคาวหรือไม่ก็ชะมด
(https://www.salika.co/2020/01/29/huanan-seafood-wholesale-market-corona-virus-2019/)
(https://brandinside.asia/wuhan-confirm-china-ban-trade-and-consumption-of-wild-animals/)
ส่วนระบาดไปยังคนได้อย่างไรยังต้องศึกษาเพิ่ม อย่างไรก็ดี เวลานี้ความสนใจกำลังอยู่ที่การพัฒนาวัคซีนสำหรับใช้ป้องกันการติดเชื้อ และนี่เป็นการทำศึกรอบใหม่กับโควิด-19
หลังรอบแรกที่ใช้แรงและสติปัญญาคนในการดำเนินยุทธการ ศึกรอบใหม่เริ่มปีที่แล้วเมื่ออดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศจะให้สหรัฐอเมริกาผลิตและฉีดวัคซีนก่อนสิ้นปี ซึ่งก็เป็นไปตามประกาศ
และเขาถือโอกาสใช้ความสำเร็จสร้างคะแนนนิยม แต่เผอิญการเริ่มผลิตและฉีดเกิดในช่วงที่คนอเมริกันต่างทะเลาะกันจะรักใครดีระหว่างประธานาธิบดีคนก่อนกับคนใหม่ คะแนนนิยมที่จะได้เลยไม่ได้
(https://www.sfexaminer.com/news/breed-condemns-attempted-coup-as-rioters-invade-u-s-capitol/)
ทั้งนี้ถ้าดูจากวิกิพีเดีย เมื่อถึงวันที่ 21 ธันวาคมปีกลาย หลายประเทศรวมทั้งสหภาพยุโรปได้ให้การรับรอง tozinameran วัคซีนภายใต้ระหัส BNT162b2 หรือชื่ออีกชื่อที่ใช้เรียกทั่วไป
นั่นคือ Pfizer–BioNTech COVID-19 vaccine แต่ถ้าจะไปซื้อตามร้านขายยาต้องเรียก Comirmaty เพราะนี่เป็นชื่อที่ BioNTech และ Pfizer สองผู้พัฒนาและผู้ผลิต
ใช้เป็นชื่อพิมพ์บนกล่อง มีการเริ่มฉีดวัคซีนกันแล้ว และทุกครั้งที่เริ่มล้วนเป็นข่าวใหญ่ ตามด้วยข่าวไม่สู้ดีเกี่ยวกับผลข้างเคียง อย่าเลย อย่าสนใจในช่วงที่การผลิตและการฉีดยังไม่ลงตัว
มาสนใจบทบาทของประเทศไทย รวมทั้งอนาคตความมั่งคั่งของไทยที่จะเกิดจากวัคซีน ข่าวดีก็คือ มีการให้ความรู้แก่คนไทยแล้ว ไทยมีบริษัทที่ผลิตวัคซีนต้านโรคโควิด-19
ชื่อคือ Siam Bioscience หรือวิทยาศาสตร์ชีวภาพสยาม โดยเป็นบริษัทที่ก่อตั้งตามพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ล้ำค่า ๆ สุดพระราชมรดกองค์นี้
(https://mgronline.com/smes/detail/9630000016590)
โดยสยามไบโอไซเอนซ์ในตอนนั้นถูกแบ่งเป็นสองส่วน ๆ ที่ใช้ชื่อนี้จะเป็นผู้วิจัย พัฒนา และผลิต ขณะที่ใช้ชื่อ Apexcela จะเป็นผู้ดำเนินการการตลาดและการส่งออก
รวมทั้งพัฒนาเครือข่ายพันธมิตรในและนอกประเทศ ครั้นแล้วพอปี 2560 บริษัทยังขยายเป็นเครือสยามไบโอไซเอนซ์ หลังมีการก่อตั้งอีก 2 บริษัท เอบินิสกับอินโนไบโอคอสเมด
(https://www.siambioscience.com/news/inno-biocosmed-aun-i-rak/)
บริษัทแรกวิจัย พัฒนา ผลิต และส่งออกยารักษาโรคร้ายแรง เช่นมะเร็ง โลหิตจาง และแพ้ภูมิตนเอง โดยในส่วนแพ้ภูมิตัวเองได้แก่ โรคอย่างข้ออักเสบรูมาตอยด์และสะเก็ดเงิน
โดยมีผู้ร่วมทุนเป็นรัฐวิสาหกิจยาอันดับหนึ่งของคิวบา ประเทศที่ล้ำหน้าเรี่องการแพทย์และสาธารณสุข
ส่วนบริษัท อินโนไบโอคอสเมด จำกัด ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและชีวเวชสำอาง ซึ่งเป็นนวัตกรรมจากงานวิจัยและพัฒนาของเครือฯ
ที่กล่าวแล้วเป็นส่วนที่ไม่ค่อยรู้กันของเครือบริษัทนี้ ที่รู้กันอยู่แล้วก็คือ การลงนามระหว่างกระทรวงสาธารณสุขไทย เครือสยามไบโอไซเอนซ์ บริษัทปูนซีเมนต์ไทยจำกัด(มหาชน)
และแอสตร้าเซนเนก้า บริษัทผู้ผลิตชีวภัณฑ์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน โดยลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงในการผลิตและจัดสรรวัคซีนวิจัยป้องกันโควิด-19 AZD1222 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด
โอ๊ยเห็นทั้งชื่อและแผน บอกคำเดียวไทยจะเป็นประเทศมั่งคั่ง
และนี่คือพระราชมรดกล้ำค่าอีกองค์ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชทาน ล้ำค่า สุดล้ำค่า