วงเสวนาแรงงาน รุมสับ นโยบาย 3 ขอ หวังดีประสงค์ร้าย สะเทือนกองทุนชราภาพ จี้ทบทวนก่อนกองทุนล้ม
วงเสวนาแรงงาน รุมสับ นโยบาย 3 ขอ หวังดีประสงค์ร้าย สะเทือนกองทุนชราภาพ จี้ทบทวนก่อนกองทุนล้ม ผู้ประกันหมดตัว อัดหวังผลทางการเมือง จับตาเลือกตั้งบอร์ดสปส.ใหม่ หวั่นลักไก่ให้รมว.แรงงานแต่งตั้ง แนะทางเลือกปฏิรูปใหญ่อัพเกรดเป็นองกรของรัฐเพื่อความอิสระ
เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ที่ สมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน และเครือข่ายแรงงานข้ามชาติ จัดเสวนาหัวข้อ นโยบาย “ 3 ขอ ” หวังดีหรือหลบเลี่ยงเลือกตั้งบอร์ดประกันสังคม ?”
นางสาวธนพร วิจันทร์ เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน กล่าวว่า การออกนโยบาย 3 ขอเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงการไม่มีส่วนร่วมของภาคประชาชน หรือผู้ประกันตนอย่างแท้จริง จากปัญหาที่สปส.ยื้อไม่จัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) แต่ที่ผ่านมาเป็นการจัดตั้งโดยรมว.แรงงานมาตลอด เช่นชุดปัจจุบันก็สืบทอดมาจากคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งแต่ปี 2558 นโยบายต่างๆ ที่ออกมาจึงขาดการมีส่วนร่วม แม้ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่คน
อย่างไรก็ตามทราบว่า สปส.ได้มีการหารือและกำหนดไทม์ไลน์ การเลือกตั้งบอร์ดใหม่แล้ว คือเดือนมิ.ย. –ก.ค. จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ เดือนก.ย. –ต.ค. เปิดสมัครรับเลือกตั้ง เดือนพ.ย. ประกาศหมายเลขผู้สมัคร และเลือกตั้งวันที่18 ธ.ค. 2565 อยากเสนอให้จัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายในเดือนพ.ย.นี้ เพราะ เดือนธ.ค. มีการประชุมระดับชาติ กังวลว่าอาจส่งผลให้เลื่อนการเลือกตั้งได้ นอกจากนี้ ขอเรียกร้องให้มีการทบทวนระเบียบแรงงานข้ามชาติ บริษัทข้ามชาติมีสิทธิ์ในการเลือกตั้งด้วย เพราะเป็นผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เครือข่ายจะมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะมีกระแสว่ารมว.แรงงานจะใช้การแต่งตั้งเหมือนเดิม
นายเซีย จำปาทอง ประธานสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ การตัดเย็บเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์หนัง แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยกับนโยบาย 3 ขอ เพราะเงินกองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพ เป็นเงินที่ผู้ประกันตนออมไว้ใช้ยามชรา เหตุผลที่ระบุว่าเพื่อเป็นหนึ่งทางออกสำหรับผู้ประกันตนในยามที่ต้องเจอวิกฤตินั้น เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดูแลประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียม แม้จะบอกว่าเป็นเงินเพิ่มเติมจากที่รัฐบาลจ่ายเยียวยาก็ตาม แต่ตนมองว่ารัฐต้องเยียวยาให้เพียงพอตั้งแต่แรก จึงต้องฝากให้รัฐมีการกำหนดมาตรฐานในการจัดบริการดูแลประชาชนในภาวะวิกฤติอย่างชัดเจน หากงบประมาณเยียวยาที่จัดตั้งไว้ยังไม่เพียงพอ ควรพิจารณาตัดงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็นออก เช่น งบจัดซื้ออาวุธ ซึ่งถามว่าจำเป็นต้องซื้อในสถานการณ์ที่เกิดวิกฤติหรือไม่ เป็นต้น แทนที่จะมาดึงเงินออมชราภาพมาใช้ หรือกรณีขอกู้ก็เช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาผู้ประกันตนเคยเสนอให้มีการขอกู้ผ่านสปส.โดยตรง แต่ตอนนี้ให้มาขอกู้ผ่านธนาคาร ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรหรือไม่ แล้วถ้าหากผู้ประกันตนไม่ใช้คืนจะทำอย่างไร เงินชราภาพก็จะหายไป ดังนั้นขอให้ สปส.ทบทวนมาตรการ 3 ข.
ด้าน รศ. ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ และ อนุกรรมการกลั่นกรองกฎหมาย การกำหนดอัตราเงินสมทบและการพัฒนาสิทธิประโยชน์ สำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า ตนเห็นด้วยให้มีการแก้ไขร่างพ.ร.บ.ประกันสังคมหลายเรื่องเพื่อให้สามารถดูแลผู้ประกันตนสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่การปรับตามนโยบาย 3 ขอ นั้นตนมองว่าการเอาเงินออมชราภาพร้อยละ 30 หรือการขอกู้บางส่วน ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่มีผลกระทบระยะยาวต่อผู้ประกันตนและสังคมที่จะมีผู้สูงอายุที่ยากจนดูแลตัวเองทางการเงินไม่ได้เพราะใช้เงินบำเหน็จหมดใน 5- 10 ปี กระทบความมั่นคงของกองทุน และการเงินของผู้กู้ ซึ่งคาดว่าเงินอาจหมดกองทุนภายใน 30-40 ปี แทนที่จะเป็น 75 ปี
ดังนั้นขอให้พิจารณาอย่างรอบด้าน และบริหารจัดการเงินลงทุนในกองทุนโปร่งใส ได้ผลตอบแทนเหมาะสม อีกประเด็นคือขอให้เร่งจัดการเลือกตั้งบอร์ดสปส.ให้เสร็จในปี 2565 แต่หากต้องการยกเครื่อง ปฏิรูปใหญ่ก็ควรปรับเปลี่ยน สปส.จาก หน่วยราชการ มาเป็นองค์กรของรัฐ มีความอิสระแบบธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ กลต.
“จริง ๆ ควรใช้ทางเลือกอื่นที่พอมีอยู่ อาทิ การเพิ่มหรือขยายเวลาสิทธิประโยชน์การประกันการว่างงาน ลดสัดส่วนเงินสมทบ การให้เงินช่วยเหลือเยียวยา ส่วนการขอกู้หากจะทำต้องมีการตั้งธนาคารของกองทุนประกันสังคมขึ้นมา ขอย้ำว่าการดึงเงินจากกองทุนชราภาพเป็นเพียงการลดการก่อหนี้ของรัฐในวันนี้ แต่ไม่ได้มองถึงผลต่อตัวสมาชิกเองที่หลักประกันทางรายได้ยามชราภาพจะลดลง รวมทั้งผลต่อกองทุนฯ และสมาชิกคนอื่น ๆ ในอนาคต” รศ. ดร.อนุสรณ์ กล่าว
ขณะที่ นายบัณฑิตย์ ธนชัยเศรษฐวุฒิ นักวิชาการแรงงาน กล่าวว่า นโยบาย 3 ขอนั้น ตนเห็นด้วยเพียงข้อเดียวคือ “ขอเลือก” ว่าจะรับบำเน็จหรือบำนาญ แต่ต้องมีเกณฑ์อายุถึง 60 ปี และมีความจำเป็นจริงๆ แต่ไม่เห็นด้วยกับ “ขอคืน” และ “ขอใช้บางส่วน” เพราะทำลายหลักการกองทุน นอกจากนี้ ตนยังขอเสนออีก 2 ขอคือ 1.ขอเพิ่มฐานค่าจ้างคิดเงินสมทบ เนื่องจาก 1.5 หมื่นบาทใช้มานานแล้วตั้งแต่ปี 2533 ขณะที่ปัจจุบันมีจำนวน 1 ส่วน 4 ของผู้ประกันตน มีรายได้เกิน 1.5 หมื่นบาท2.ขอเพิ่มฐานอายุ เพราะ 55 ปี น้อยเกินไป และอายุการเกิดสิทธิรับบำเน็จ บำนาญ ไม่จำเป็นต้องจ่ายครบ180 เดือนก็ได้ อย่างไรก็ตามอยากเสนอให้ ปฏิรูปประสิทธิภาพการบริหารกองทุนให้อิสระ และต้องมีการเลือกตั้งบอร์ดสปส.ให้เร็วที่สุด