SME Bank8ด.กำไร837ล้าน
SMEsสนกู้ดอกต่ำ4%2.4พัน
เอสเอ็มอีแบงก์เปิดผลการดำเนินงานในรอบ 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) ปี 2558 ยังสามารถมีกำไรสุทธิได้ต่อเนื่องที่ 837 ล้านบาท ขณะปล่อยสินเชื่อใหม่แก่ลูกค้าSMEs วงเงินไม่เกิน 15 ล้านบาทมากกว่า 8,800 คน ลด NPLs ได้จำนวน 4,950 ล้านบาท ระบุมี SMEsสนใจสินเชื่อโครงการสินเชื่อดอกต่ำ4% มากกว่า 2,400 ราย 73.79% เป็นSMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว
นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการและนางอินทิรา โภคปุณยารักษ์ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เปิดเผยว่า กำไรสุทธิ ช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.) ปี 2558 เท่ากับ 837 ล้านบาท ซึ่งมีผลกำไรต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยในช่วงเดือนสิงหาคม 2558 มีกำไรสุทธิ 131 ล้านบาท เป็นผลมาจากดอกเบี้ยรับที่เพิ่มจากการขยายสินเชื่อใหม่ ธนาคารสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่ไม่สูง และที่สำคัญ คือ ในเดือนสิงหาคม ธนาคารได้รับชำระเงินคืนจากลูกหนี้ NPLs ทั้งที่เป็นเงินต้นและดอกเบี้ยค้างรับ
ณ 31 ส.ค.2558 ธนาคารปล่อยสินเชื่อใหม่ 20,198 ล้านบาท ทั้งหมดเป็นลูกหนี้สินเชื่อไม่เกิน 15 ล้านบาท จำนวน 8,808 ราย มียอดสินเชื่อคงค้าง 85,944 ล้านบาท อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) เท่ากับ 10.02 %
ทางด้านตัวเลขสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) เดือน ม.ค.– ส.ค. 2558 ธนาคารสามารถลด NPLs ได้จำนวน 4,950 ล้านบาท โดย ณ สิ้น สิงหาคม 2558 NPLs คงเหลือ 27,010 ล้านบาท (คิดเป็น 31.43% ของสินเชื่อรวม) ลดลงจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย 141 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน่าพึงพอใจ เมื่อเปรียบเทียบ NPls ของระบบทั่วไปที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ธนาคารคาดว่าเดือนกันยายน NPL จะสามารถลดลงได้อย่างมีนัยยะสำคัญ จากการขายลูกหนี้และการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งสัญญาน่าจะได้ข้อยุติเดือนกันยายน
สำหรับความคืบหน้าในโครงการสินเชื่อ Policy Loan ดอกเบี้ยต่ำ 4% ณ วันที่ 8 กันยายน 2558 มีผู้ประกอบการ SMEs ติดต่อขอสินเชื่อวงเงิน 11,659 ล้านบาท 2,494 ราย โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว 73.79% (วงเงิน 8,604 ล้านบาท 1,985 ราย) ทั้งนี้ ธนาคารสามารถอนุมัติได้แล้ว 1,094 ล้านบาท 343 ราย
ตารางแสดงจำนวนผู้ประกอบการ SMEs ที่ติดต่อขอสินเชื่อโครงการ Policy Loan
แบ่งตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย หน่วย : ล้านบาท
ส่วนการดำเนินการในโครงการร่วมลงทุน เดิมเอสเอ็มอีแบงก์ตั้งไว้ที่ 500 ล้านบาท อย่างไรก็ดีตามมติ ครม.วันที่ 8 กันยายน 2558 ได้ให้ขยายการร่วมลงทุนเป็น 2,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อมั่นว่าสามารถปฎิบัติได้ โดยขณะนี้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว มีบริษัท ไทยเอซแคปปิตอล จำกัด ซึ่งเป็น Trust Manager (พี่เลี้ยง)ได้ตัดสินใจเข้าร่วมลงทุนด้วย กอปรกับธนาคารได้คัดเลือกเอกชนเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงอีกหลายราย ทำให้สามารถสรรหา SMEs ที่ธนาคารจะร่วมลงทุนได้เร็วขึ้น
ทั้งนี้กิจการ SMEs ที่ได้ลงนาม MOU ไปแล้ว 4 ราย นั้น มีอยู่ 2 รายสามารถจัดทำแผนขยายธุรกิจเสร็จสิ้น และผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการร่วมลงทุนของธนาคารแล้ว คือ ธุรกิจไอที 1 ราย (บริษัท วันบิต แมทเทอร์ จำกัด) และ ธุรกิจอาหารอีก 1 ราย (บริษัท ไทยริชฟูดส์ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งธนาคารจะดำเนินการจ่ายเงินค่าร่วมลงทุนให้แก่ SMEs ทั้ง 2 รายดังกล่าวในเร็ว ๆ นี้
ในโอกาสเดียวกันนี้เอสเอ็มอีแบงก์ยังเปิดเผยด้วยว่า ธนาคารยังมีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยคณะกรรมการธนาคารได้อนุมัติให้มีการปรับโครงสร้างตามข้อเสนอของที่ปรึกษาสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อรองรับการทำพันธกิจหลักในเรื่องการปล่อยสินเชื่อ การร่วมลงทุน และการพัฒนาผู้ประกอบการ โดยได้ขยายส่วนงานซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับพันธกิจทั้ง 3 ประการ เพิ่มขึ้น เช่น เพิ่มจำนวน เขต ภาค ไปต่างจังหวัด เพื่อช่วยให้การปล่อยสินเชื่อทำได้เร็วขึ้น และจัดตั้งศูนย์อำนวยสินเชื่อในเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 5 เขต
นอกเหนือจากนั้น ธนาคารยังเพิ่มหน่วยงานด้านร่วมลงทุนและพัฒนาผู้ประกอบการอีกด้วย ประการสำคัญคือ ธนาคารไม่ได้ละเลยในเรื่องการบริหารความเสี่ยง โดยได้เพิ่มหน่วยงานติดตามดูแลคุณภาพลูกหนี้ที่ค้ำประกันโดยบสย. เพราะธนาคารได้ส่งลูกหนี้ไปค้ำประกันกับบสย.เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ อย่างไรก็ดี ธนาคารไม่ได้เพิ่มอัตรากำลังขึ้นจากที่มีอยู่ ณ สิ้นปี 2557 แต่ใช้วิธีโยกย้ายพนักงานด้านสนับสนุน (Back Office) ไปปฎิบัติงานด้านภารกิจหลักในต่างจังหวัดแทน