นักวิชาการ ชี้ นักกีฬาดื่มแล้วขับ ชนคนตายอันตรายขั้นสุด
นักวิชาการ ชี้ นักกีฬาดื่มแล้วขับ ชนคนตายอันตรายขั้นสุด เสนอรัฐบาลทบทวน พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า แนะควรมีกฎหมายเพิ่มความรับผิดชอบให้ผู้ขายร่วมรับผิดคดีดื่มแล้วขับ ลงโทษหนัก หยุดความสูญเสียบนถนน ด้านเหยื่อเมาแล้วขับและโค้ชฟุตซอลเด็ก วอนร่วมสร้างนักกีฬาปลอดอบายมุข เป็นแบบอย่างที่ดี
จากกรณีสมาชิกสโมสรฟุตบอลแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี ดื่มแล้วขับ จนได้รับข้อหาขับรถโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต และขับรถขณะเมาสุรา และตรวจพบว่าร่างกายมีปริมาณแอลกอฮอล์เกิน อยู่ที่ 184 มิลลิกรัม เปอร์เซ็นต์ จนผู้จัดการทีมประกาศลาออกและต้นสังกัดสั่งยกเลิกสัญญากับผู้ก่อเหตุในเวลาต่อมา
ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ อาจารย์ประจำคณะพยาบาลศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ โดยมองว่าเป็นปัญหาซ้ำซากในเมืองไทย ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะหลายครอบครัวต้องตกเป็นเหยื่อ มีชะตามกรรมเหมือนตายทั้งเป็น ยิ่งเหตุการณ์นี้คนดื่มแล้วขับเป็นนักกีฬาสโมสรชื่อดัง ควรเป็นต้นแบบในการดูแลสุขภาพ และสร้างความปลอดภัยให้กับสังคม ส่วนการตรวจพบแอลกอฮอล์เกินมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แสดงว่านักกีฬาอาจดื่มเบียร์มากกว่า 1 กระป๋อง หรือดื่มเหล้ามากกว่า 2 ฝา เมื่อคนขับมีแอลกอฮอล์อยู่ที่ระดับ 100 – 199 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นระดับแอลกอฮอล์ในเลือดที่สูงมาก ผู้ดื่มจะมีอาการทรงตัวลดลง เดินกลับบ้านยังอันตราย ถ้าขับรถยิ่งอันตรายหนักมาก เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมช้าลง ระบบกล้ามเนื้อทำงานไม่สัมพันธ์กับอารมณ์ เช่น เดินเซ หกล้ม ถือสิ่งของไม่ได้ ตาพล่ามัว จึงไม่ควรขับรถเด็ดขาด
ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี กล่าวต่อว่า เหตุการณ์นี้กับ พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า อาจจะไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรง เพราะเป็นคดีดื่มแล้วขับ ไม่ใช่การเปิดเสรีค้าขาย แต่ในฐานะที่ตนทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุรา ก็อยากชวนให้มองลึกไปถึงการผลิตและจำหน่าย อยากให้นำเหตุการณ์นี้รวมถึงผลกระทบทางสังคมอีกมากมายที่ปรากฎเป็นข่าวกันรายวัน มาเป็นส่วนหนึ่งเพื่อทบทวนร่างกฎหมายนี้อีกครั้ง เพราะท้ายที่สุดแล้วการเพิ่มผู้ผลิตและผู้จำหน่ายในตลาด ย่อมทำให้การขาย การดื่ม เพิ่มขึ้นจากเดิม และที่สำคัญการเปิดให้ผลิตเพื่อดื่มเองได้ทั่วไป จุดนี้ยิ่งอันตราย ปัญหาผลกระทบยิ่งเพิ่มเป็นเงาตามตัว ซึ่งสิ่งที่ฝ่ายการเมืองควรขบคิดกันจริงจัง และควรทำมากกว่าในเวลานี้ คือการผลักดันให้มีกฎหมายการรับผิดชอบร่วมกับระหว่างผู้กระทำผิดและผู้ขาย (Dram shop liability) เหมือนในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น หากมีคดีดื่มแล้วขับ ทุกคนที่อยู่ในรถต้องได้รับโทษเหมือนกันทั้งหมด รวมถึงการควบคุมจุดจำหน่าย การทำให้ผู้ขายต้องผ่านการฝึกอบรม พร้อมเสนอให้พิจารณาเรื่องการเอาผิดทุกคนที่เกี่ยวข้องในคดีดื่มแล้วขับ ตั้งแต่ คนขาย คนดื่ม และคนที่นั่งรถ แต่ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการเอาผิด “ผู้ผลิต” ให้มารับผิดชอบความสูญเสีย แต่ถ้ากฎหมายสามารถทำได้ เชื่อว่าจะเป็นกติกาใหม่ที่เปลี่ยนแปลงสังคมไปในทิศทางที่ดีขึ้น
นายเจษฎา แย้มสบาย ประธานเยื่อเมาแล้วขับกรุงเทพ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นเหยื่อจากคนดื่มแล้วขับ จนต้องพิการนั่งวิลแชร์ และปัจจุบันยังทำหน้าที่เป็นโค้ชผู้ฝึกสอนฟุตซอลให้กับเด็ก ๆ ในชุมชนย่านปทุมวัน ทีมสิงห์ลุมพินี ตระเวนทำการแข่งขันให้เด็กๆ ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ มองว่าเรื่องกีฬากับอบายมุข รวมถึงสิ่งที่มาทำลายสุขภาพ และทำลายคุณภาพชีวิตของนักกีฬา ต้องแยกให้ขาด ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวอย่างเด็ดขาด
ดังนั้นวินัยของนักกีฬาในประเด็นนี้จึงสำคัญมาก แม้ทีมจะเป็นทีมเล็กๆ แต่เราก็ปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ให้เด็กๆ ตั้งแต่เริ่มแรก ส่วนเหตุการณ์ดื่มแล้วขับของนักฟุตบอลทีมชลบุรีเอฟซี ส่วนตัวมองว่า การออกมารับผิดและร่วมรับผิดชอบของทางสโมสรนั้นเป็นเรื่องต้องทำ ในแง่ของกฎหมายก็ต้องดำเนินการให้เด็ดขาด ตนเองยังเป็นหนึ่งในแฟนบอลของทีมนี้ และติดตามให้กำลังใจมาโดยตลอด จึงอยากร้องขอให้สโมสรอย่าทำให้แฟนบอลเสียศรัทธาในทีม ควรถือโอกาสนี้ปรับปรุงกฎกติกากันครั้งใหญ่ เพื่อหาระบบที่ดีขึ้นและไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้อีก