ไทย-ญี่ปุ่นวิจัย “H-FAME”
น้ำมันไบโอดีเซลคุณภาพสูง
ไทย-ญี่ปุ่นร่วมวิจัยและพัฒนา “H-FAME” หรือ น้ำมันไบโอดีเซลทางเลือกใหม่คุณภาพสูงทดสอบคุณภาพการใช้งานในรถยนต์แล้วประสบความสำเร็จ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติ Workshop for higher blending of biodiesel (H-FAME) for automative utilization of ASEAN ณ รร.เซนทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลลาดพร้าว กรุงเทพ เมื่อเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ “H-FAME” เป็นการดำเนินงานภายใต้การดำเนินงานในโครงการ Science and Technology Research Partnership for Sustainable Development (SATREPS) ซึ่งเป็นโครงการร่วมวิจัยไทย-ญี่ปุ่น ประกอบด้วยหน่วยงานของประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น (National Institute of Advanced Industrial Science and Technology หรือ AIST) และ มหาวิทยาลัยวาเซดะ (Waseda University) ส่วนหน่วยงานของประเทศไทย ประกอบด้วย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ) โดยการสนับสนุนของ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ JICA (Japan International Cooperation Agency) และองค์การส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีญี่ปุ่น หรือ JST (Japan Science Technology)
ไบโอดีเซลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เรียกว่า FAME (Fatty Acid Methyl Ester) สามารถผสมกับน้ำมันดีเซลธรรมดาได้เพียง 7% ( B7 ) และไม่สามารถผสมได้มากกว่านี้เพราะข้อจำกัดเรื่องการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จึงจะส่งผลให้น้ำมันเสื่อมคุณภาพเมื่อทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน ดังนั้นทีมวิจัยจึงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่จะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดดังกล่าว จนเป็นที่มาของน้ำมันไบโอดีเซลทางเลือกใหม่ “H-FAME” ทำให้สามารถผสมไบโอดีเซลมากกว่า 7% ได้ ทั้งนี้เทคโนโลยีการผลิตน้ำมันไบโอดีเซลทางเลือกใหม่ “H-FAME” นี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของเชื้อเพลิงได้อย่างมีนัยสำคัญ น้ำมัน H-FAME จะทนต่อการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนได้มากขึ้น ส่งผลให้น้ำมันไม่เสื่อมคุณภาพเมื่อเทียบกับน้ำมันไบโอดีเซล B7 ในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้น้ำมันที่ผ่านกระบวนการ H-FAME สามารถผสมกับน้ำมันดีเซลได้มากถึง 20 % (B20) น้ำมัน B20 H-FAME นี้ได้ใช้กับรถปิกอัพ “อีซูซุ ดีแม็คซ์” มาตรฐานโรงงาน ผ่านการทดสอบระยะทางรวม 50,000 กิโลเมตรในประเทศไทยโดยปราศจากปัญหาใดๆ
เทคโนโลยีการผลิต “H-FAME” นั้น ใช้กระบวนการ Partial Hydrogenation ซึ่งน้ำมันจะผ่านปฏิกิริยาการเติมด้วยไฮโดรเจนที่ความดันต่ำ ทำให้สามารถเพิ่มคุณภาพของน้ำมันไบโอดีเซลได้โดยใช้ต้นทุนไม่สูงนัก ผลลัพธ์ที่ได้คือน้ำมัน “H-FAME” มีคุณภาพดีกว่าไบโอดีเซลที่ใช้ในท้องตลาด และสามารถผ่านทุกมาตรฐานไบโอดีเซลสากล รวมทั้งมาตรฐาน Worldwide Fuel Charter (WWFC) ด้วย ทั้งนี้การใช้งานไบโอดีเซลในรถยนต์ส่งผลดีต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล เช่น ลดปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งเป็นแก๊สเรือนกระจก สร้างความมั่นคงทางพลังงานโดยลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ และช่วยเหลือเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ขณะนี้เทคโนโลยีการผลิตน้ำมัน H-FAME อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างโรงผลิตขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาค โดยเริ่มจากประเทศไทย และขยายไปสู่ประเทศอื่นๆในภูมิภาคอาเซียน
ส่วนการดำเนินงานในอนาคต ในประเทศไทยมีแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP) ฉบับปรับปรุง กำหนดเป้าหมายการใช้ไบโอดีเซลไว้ที่ 14 ล้านลิตรต่อวัน จากปัจจุบันมีปริมาณการใช้งานอยู่ที่ 3 ล้านลิตรต่อวัน โดยแผนดังกล่าวบรรจุ “H-FAME” ได้รับการบรรจุให้เป็นอีกหนึ่งเชื้อเพลิงทางเลือกในแผนดังกล่าว ที่จะช่วยขับเคลื่อนปริมาณการใช้งานไบโอดีเซลให้บรรลุเป้าหมาย นอกจากประเทศไทยแล้ว ประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย กำหนดนโยบายชัดเจนที่จะส่งเสริมการใช้งาน ไบโอดีเซลจากปาล์ม ด้วยเหตุนี้เทคโนโลยี “H-FAME” จึงถูกคาดหมายว่าจะเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่จะถูกนำไปใช้เพื่อในกลุ่มประเทศอาเซียนเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานเช่นกัน นอกจากนี้โครงการก่อสร้างโรงงาน H-FAME ขนาดใหญ่กำลังอยู่ในระหว่างการวางแผนทั้งในประเทศไทย และในประเทศอาเซียนอื่นๆ
ภาพ–
นางฉันทรา พูนศิริ รองผู้ว่าการวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ วว. (ที่ 8 จากขวามือ) ร่วมในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการนานาชาติ Workshop for higher blending of biodiesel (H-FAME) for automative utilization of ASEAN …เปิดตัว H-FAME น้ำมันไบโอดีเซลทางเลือกใหม่คุณภาพสูงที่ผ่านการทดสอบกับรถยนต์แล้ว ณ รร.เซนทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลลาดพร้าว กรุงเทพ เมื่อเร็วๆ นี้