สถาบันสุขภาพเด็กฯเสนอ
“ป้องกันเด็กตาบอด” ที่ญี่ปุ่น
สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) ร่วมประชุมและนำเสนอผลงานในการประชุมวิชาการด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ครั้งที่ 8 ณ ญี่ปุ่นที่จัดโดยองค์การบริหารโรงพยาบาลแห่งชาติศูนย์การแพทย์คูเร และสถาบันมะเร็งชูโกกุ ภายใต้หัวข้อ “Team Approach in Modern Medicine” ร่วมเสนอแนวทางป้องกันภาวะตาบอดในเด็ก เช่น โรคจอตาจากการคลอดก่อนกำหนดที่ไทยพบ 3 พันคนต่อปี
รองศาสตราจารย์คลินิก แพทย์หญิงศิราภรณ์ สวัสดิวร ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กล่าวว่า “ทางสถาบันฯ ได้ร่วมลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับองค์การบริหารโรงพยาบาลแห่งชาติศูนย์การแพทย์คูเร และสถาบันมะเร็งชูโกกุ ดำเนินการแลกเปลี่ยนความรู้ทางวิชาการและเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์เด็กในด้านต่างๆ โดยล่าสุด ทางสถาบันการแพทย์ของญี่ปุ่นดังกล่าวได้จัดงานประชุมวิชาการด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ครั้งที่ 8 (The 8th Kure International Medical Forum (K-INT) in 2015) ณ ประเทศญี่ปุ่นขึ้น เพื่อตอบสนองต่อนโยบายประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community)
พร้อมทั้งนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน และร่วมแบ่งปันประสบการณ์การดูแลรักษาผู้ป่วยและการจัดการกับปัญหาสุขภาพอย่างเป็นทีม (Team Approach) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาคมอาเซียนโดยรวม ทั้งนี้ สถาบันฯ โดย พญ.ขวัญใจ วงศกิตติรักษ์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เป็นผุ้แทน พร้อมด้วยทีมแพทย์และพยาบาลเข้าร่วมประชุมและนำเสนอผลงานวิชาการ เรื่อง “การป้องกันสภาวะตาบอดในเด็กในประเทศไทย (Preventing Childhood Blindness in Thailand)”
ด้าน พญ.ขวัญใจ วงศกิตติรักษ์ กล่าวว่า “ปัญหาตาบอดและสายตาพิการในเด็กนับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ เพราะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็ก ซึ่งก่อให้เกิดการสูญเสียทั้งต่อตัวเด็กและครอบครัว รวมถึงประเทศชาติที่ต้องอาศัยทรัพยากรในการจัดบริการฟื้นฟูและการศึกษาพิเศษเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการควบคุมสภาวะตาบอดในเด็กจึงมีความสำคัญระดับต้นๆ ที่ควรแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่สุด โดยสาเหตุของสภาวะตาบอดในเด็กไทยเกิดจาก 2สาเหตุใหญ่ คือ โรคจอตาในทารกคลอดก่อนกำหนด หรือ Retinopathy of Prematurity (ROP) ร้อยละ 66 และภาวะตามัวที่เกิดจากภาวะสายตาผิดปกติที่ไม่ได้รับการแก้ไข คิดเป็นร้อยละ 33 ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน”
โดย โรคจอตาในทารกคลอดก่อนกำหนด หรือ Retinopathy of Prematurity (ROP) เกิดจากสาเหตุหลักคือ การคลอดก่อนกำหนดหรือคลอดก่อน 37 สัปดาห์ และมีน้ำหนักน้อยกว่า 1,500 กรัม จนเป็นสาเหตุให้การพัฒนาของเส้นเลือดในจอตาไม่สมบูรณ์ เมื่อออกมาเจออากาศภายนอกที่มีออกซิเจนมากจะทำให้เส้นเลือดมีพัฒนาการเติบโตแบบผิดปกติจนกลายเป็นเส้นเลือดงอกใหม่ ซึ่งไม่มีความแข็งแรงเท่าเส้นเลือดปกติ ทำให้เส้นเลือดในตาแตกง่ายจนอาจเกิดพังผืดไปดึงรั้งจอตาให้หลุดออกมาจนเกิดสภาวะตาบอดได้
ทั้งนี้ แนวทางในการรักษาขึ้นอยู่กับระยะเวลาการตรวจพบโรค โดยในประเทศไทยจากการประมาณการพบว่า มีผู้ป่วยเด็กโรคดังกล่าวประมาณ 3,000 คนต่อปี ซึ่งจำเป็นต้องรักษาด้วยเลเซอร์ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยเด็กเหล่านี้เข้าถึงการรักษาเพียง 350 – 400 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 12 จากทุกโรงพยาบาลในประเทศไทย และอีกกว่า 2,500 คน ไม่ได้รับการรักษา ซึ่งถ้าประมาณการจากจำนวนผู้ป่วยเด็กที่เข้ารับการรักษาโรคดังกล่าวทั้งหมด คาดว่ามีทารกคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักน้อยกว่า 1,500กรัม ได้รับการตรวจคัดกรองโรคดังกล่าวเพียง 1,600 คน หรือคิดเป็นเพียง16% ของเด็กคลอดก่อนกำหนดและมีน้ำหนักน้อยกว่า1,500 กรัม เท่านั้น
นอกจากนี้ พญ.ขวัญใจ ยังได้นำเสนอแนวทางในการดำเนินงานเพื่อลดอัตราการตาบอดในเด็กว่า “ต้องมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเพื่อให้เด็กทุกคนที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคจอตาในทารกคลอดก่อนกำหนดได้รับการตรวจจอตาภายใน 4 – 6 สัปดาห์หลังคลอดและผลักดันให้ทุกคนเข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึง อีกทั้งยังต้องพัฒนาให้เกิดเครือข่ายของศูนย์การแพทย์ที่สามารถให้การวินิจฉัยและรักษาโรคจอตาในทารกคลอดก่อนกำหนดและพัฒนาให้เกิดศูนย์โรคตาในเด็กระดับตติยภูมิ (รูปแบบของบริการดูแลสุขภาพ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในสถานพยาบาลที่มีบุคลากรและสิ่งอำนวยความสะดวกในเรื่องการวินิจฉัยและบำบัดรักษาขั้นสูง) เพื่อเป็นที่รับปรึกษาในการวินิจฉัยและให้การรักษาโรคจอตาในรายที่เกินขีดความสามารถของศูนย์ในระดับภูมิภาค โดยจะให้บริการทั้งด้านการผ่าตัดรักษาโรคตาที่ซับซ้อน การบริการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการเห็นและการบริการเครื่องช่วยสายตาเลือนราง”
ทั้งนี้สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ. เด็ก) มีความตั้งใจที่จะสร้างระบบ “ROP Network” ในการส่งต่อภาพวินิจฉัยโรคจอตาจากหน่วยบริการในภูมิภาค โดยให้จักษุแพทย์ในพื้นที่ถ่ายรูปจอตาของผู้ป่วยด้วยกล้องถ่ายจอตาแล้วจัดส่งเข้าสู่สถาบันฯ ผ่านทางระบบ “Telemed” ได้ทันที ทำให้จักษุแพทย์ในพื้นที่สามารถวินิจฉัยโรคในระยะไกลและให้การรักษาด้วยเลเซอร์ได้ทันเวลาภายใน 72 ชั่วโมง ทำให้ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยในการเดินทางเข้ามาตรวจคัดกรองโรคในสถาบันฯ
สำหรับการเดินทางร่วมประชุมวิชาการด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ครั้งที่ 8 ณ ประเทศญี่ปุ่น ของสถาบันฯ ครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากโครงการบริจาคไมล์ “Miles Give Kids A Smile – การให้ที่ยิ่งใหญ่ คือการมอบสุขภาพที่ดีให้เด็กไทย” ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สอดคล้องกับนโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
สถาบันสุขภาพเด็กฯ อยู่ในระยะการจัดหาครุภัณฑ์การแพทย์ และพัฒนาบุคลากรให้พร้อมในการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กให้เพียงพอต่อความต้องการ โดยสามารถร่วมบริจาคเงินผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้ (ใบเสร็จนำไปลดหย่อนภาษีได้)
1. สั่งจ่ายเช็คในนามมูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก เพื่อกองทุนอาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษามหาราชินี
2. ร่วมสมทบกองทุนโอนเงินเข้าบัญชี มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ
o ธ. กรุงเทพฯ สาขาคณะทันตแพทยศาสตร์ ม.มหิดล เลขที่ 046-7-00688-8
o ธ. ไทยพาณิชย์ สาขาสำนักงานโยธิน เลขที่ 111-410586-1
o ธ. ออมสิน สาขาชัยสมรภูมิ เลขที่ 02-8888-99999-3
3. บริจาคผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิสทั่วประเทศ แจ้งรหัสบริจาค มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก
4. บริจาคผ่าน ATM ธ. ไทยพาณิชย์ และ ธ.กรุงเทพฯ ทุกสาขา
5. บริจาคผ่านเว็บไซต์ www.childrenhospital.go.th
รายละเอียดเพิ่มเติมศูนย์จัดหาทุนโทร.1415 ต่อ 2615, 2618 โทร. 02–640-9363 (เวลาราชการ) แฟกซ์ 02-640-9363 มือถือ 088–874–4671/ 089-141-1523 Facebook: ตึกใหม่โรงพยาบาลเด็ก