ศูนย์ศัลยกรรมแปลงเพศ รพ.ยันฮี ตอกย้ำอันดับ 1 ใน 5 ระดับประเทศ ต้อนรับ “ทีมแพทย์จีน” บินตรงดูงาน
คณะแพทย์ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลยันฮี ตอกย้ำการเป็นสถานพยาบาลที่มีความโดดเด่นด้านศัลยกรรมความงามติดอันดับ 1 ใน 5 ระดับประเทศ ต้อนรับทีมแพทย์สาขาวิชาศัลยศาสตร์ตกแต่งโรงพยาบาลประชาชนเซี่ยงไฮ้ลำดับที่ 9 หนึ่งในโรงพยาบาลชั้นนำ เครือวิทยาลัยการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เจียวทง สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมนำทีมเยี่ยมชมศูนย์ศัลยกรรมตกแต่ง เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเจาะลึกเทคนิควิธีการแปลงเพศจากชายเป็นหญิง(MTF) และหญิงเป็นชาย(FTM) ต่อยอดสู่ก้าวสำคัญของการร่วมมือ เพื่อความก้าวหน้าทางการแพทย์ด้านศัลยกรรมความงามและวิทยาการ การแปลงเพศ ระหว่างไทย-จีนในอนาคต
นายแพทย์สุกิจ วรธำรง แพทย์ผู้ชำนาญการด้านศัลยกรรมตกแต่งแปลงเพศ จากหญิงเป็นชาย กล่าวว่า “โรงพยาบาลยันฮี นับเป็นหนึ่งในศูนย์ศัลยกรรมที่มีแพทย์ชำนาญการณ์มากที่สุดในประเทศไทยและมีเทคโนโลยีอันทันสมัย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี ทำให้ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งโรงพยาบาลยันฮีก้าวขึ้นมาเป็น โรงพยาบาลที่มีความโดดเด่นด้านศัลยกรรมความงามติดอันดับ 1 ใน 5 ของโรงพยาบาลความงามระดับประเทศ ทั้งยังเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ด้วยความเชี่ยวชาญทางการแพทย์และฝีมือความประณีตของทีมศัลยแพทย์ตกแต่ง จนได้รับความไว้วางใจจากผู้รับบริการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
ในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญจากโรงพยาบาลประชาชนเซี่ยงไฮ้ลำดับที่ 9 (Shanghai Ninth People’s Hospital: SNPH) เพื่อเข้าร่วมปาฐกถาออนไลน์ ในงาน Shanghai International ครั้งที่ 21ในหัวข้อ ศัลยกรรมพลาสติกและความงาม จนได้รับความสนใจจากแพทย์ผู้ทรงเกียรติ ก่อเกิดแรงบันดาลใจและมีความประสงค์ที่จะเข้ามาเยี่ยมชม ศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งและศูนย์แปลงเพศ ณ โรงพยาบาลยันฮี เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้เชิงวิชาการและต่อยอดสู่ความร่วมมือตลอดจนความก้าวหน้าทางด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยีต่อไป”
สำหรับครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคณะแพทย์ผู้ทรงเกียรติ นำโดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ หยิง ฟาน จาง (Prof. Ying-Fan Zhang, M.D.) ผู้เชี่ยวชาญ พัฒนาเทคนิค ผ่าตัดแปลงเพศหญิงเป็นชาย(FTM) พร้อมด้วย นายแพทย์ เฉิน เฉิง (Dr. Chen Cheng) แพทย์ศัลยกรรมพลาสติก ผู้เชี่ยวชาญด้านcorrection of gender and reproduction และศาสตราจารย์ นายแพทย์ ไช่ เย่ว หลิว (Prof. Cai-Yue Liu, M.D) นักวิจัยหลังปริญญาเอกเฉพาะทางด้านศัลยกรรมพลาสติกและศัลยกรรมตกแต่ง พร้อมร่วมรับฟังบรรยายเรื่องการแปลงเพศแบบเจาะลึกทั้งด้านวิชาการ และร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การแปลงเพศที่มีมากว่า 30 ปี โดย นายแพทย์สุกิจ วรธำรง ในหัวข้อ “การแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย(gender affirming surgery : female to male)” และการบรรยายหัวข้อ “การผ่าตัดแปลงเพศจากชายเป็นหญิง(gender affirming surgery : male to female)” โดย นายแพทย์วรพล รัตนเลิศ พร้อมเข้าเยี่ยมชมพื้นที่การปฏิบัติงานของศูนย์ศัลยกรรมตกแต่ง, ห้องพักผู้ป่วยใน, ศูนย์แพทย์ทางเลือก, ศูนย์ผิวหนังและเลเซอร์ ตลอดจนศูนย์ทันตกรรมครบวงจร เพื่อให้เห็นบรรยากาศการดูแลคนไข้แบบครบวงจร (One Stop Service) อีกด้วย
นายแพทย์สุกิจ วรธำรง แพทย์ผู้ชำนาญการด้านศัลยกรรมตกแต่งแปลงเพศ จากหญิงเป็นชาย ให้ความรู้ว่า “การแปลงเพศจากหญิงเป็นชายมี 2 เทคนิคหลักคือ “เทคนิคเมทตอยด์” (Metoidioplasty) ที่สร้างอวัยวะเพศชายขึ้นจากคริตอริสของคนไข้ และเทคนิคฟาโลว์ (Phalloplasty) ที่ย้ายเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของคนไข้มาเย็บปั้นเป็นอวัยวะเพศชายตามรูปร่างและขนาดที่ต้องการ กระทั่งสามารถใช้ชีวิตเสมือนเพศชายได้จริง
ขณะที่นายแพทย์วรพล รัตนเลิศ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านศัลยกรรมตกแต่งแปลงเพศ จากชายเป็นหญิง กล่าวว่า เทคนิคการแปลงเพศมีทั้ง “เทคนิคต่อลำไส้” ที่ช่วยตกแต่งผิวสัมผัสด้านในให้เหมือนช่องคลอด, “เทคนิคต่อกราฟ” ช่วยให้ช่องคลอดมีความลึกมากขึ้น และ “เทคนิคเยื่อบุช่องท้อง” ช่วยให้ช่องคลอดลึกและมีน้ำหล่อลื่น สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเหมือนผู้หญิงทั่วไป”
โรงพยาบาลยันฮี นับเป็นโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเอเชียที่มีศูนย์แปลงเพศที่สามารถแปลงเพศได้ทั้งจากชายเป็นหญิงและหญิงเป็นชาย รองรับคนไข้ต่างชาติโดยเฉลี่ยราว 2,000-2,500 รายต่อเดือน โดยแบ่งสัดส่วนเป็นคนไข้จีน คิดเป็น 15% หรือราว 300 – 350 รายต่อเดือน มีความพร้อมทั้งเทคนิควิธี เครื่องมืออุปกรณ์และทีมแพทย์สหวิชาชีพผู้ชำนาญการที่ครบวงจร อาทิ ศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง จิตแพทย์ อายุรแพทย์ สูตินรีแพทย์ พร้อมด้วยมาตรฐาน “3S” คือ Safety : ความปลอดภัยในการผ่าตัด, Standard : มาตรฐานในการรักษา, Specialist : ศัลยแพทย์ตกแต่งผู้ชำนาญการเฉพาะทาง เพื่อให้คุณได้สวยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างมั่นใจ และปลอดภัยตามมาตรฐานระดับสากล
“สำหรับผลสัมฤทธิ์ในการจัดประชุมดูงานในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างการแพทย์ไทย-จีนแล้ว เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นจุดเริ่มต้นความร่วมมือและความก้าวหน้า สู่การพัฒนาวิทยาการอันทันสมัยในอนาคตอีกด้วย” นายแพทย์สุกิจ กล่าวทิ้งท้าย