“วิรัช หวังเจริญวงศ์” ตัวจริง
ผู้ฝึกปฏิบัติ “เสี่ยวโจวเทียน”
“อานิสงส์จากการเรียนวิชา ชี่กง และฝึกปฏิบัติเสี่ยวโจวเทียนกับอาจารย์หยาง ทำให้ผมสามารถดูแลช่วยเหลือตัวเองได้ มีสุขภาพทีดี และร่างกายแข็งแรง จิตใจที่สงบ และตั้งมั่น (ตามหลักการของเต๋าที่ว่า จิตใจที่สงบต้องอยู่ในร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น) จึงมีเวลา และโอกาส ที่จะทำการงานเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ช่วยเหลือครอบครัว คนรอบข้าง สังคมและตอบแทนบุญคุณให้กับประเทศชาติสืบต่อไป”
นี่คือคำกล่าวของ “วิรัช หวังเจริญวงศ์” ผู้ฝึกปฏิบัติเสี่ยวโจวเทียนตัวจริง และได้ค้นพบว่า การนั่งสมาธิ ตามทฤษฎีเสียวโจวเทียนโบราณ ทำให้เพิ่มพลังชีวิต มีสุขภาพดี
นายวิรัช หวังเจริญวงศ์ นักบริหารมืออาชีพในตำแหน่งผู้อำนวยการบริหารฝ่ายการเงิน บริษัท เดนท์สุ (ประเทศไทย) ถ่ายทอดประสบการณ์ เหตุผลที่เข้ามาฝึกสมาธิขั้นสูง ตามทฤษฎีเสี่ยวโจวเทียน ศาสตร์ ชี่กงโบราณ เป็นเพราะนิสัยส่วนตัวเป็นคนชอบดูแลสุขภาพ ชอบการค้นคว้า แสวงหา ซึ่งมีอยู่วันหนึ่ง ผมไปออกกำลังกายที่สวนลุมพินีตามปกติ เห็นรุ่นพี่กลุ่มหนึ่ง กำลังฝึกการออกกำลังกาย ในท่วงท่าช้าๆ พร้อมกับเน้นลมหายใจเข้าออกช้าๆ ขณะเคลื่อนไหว สอบถามว่า เป็น ชี่กง 18 ท่า ผมเห็นแล้วสนใจได้ขอเข้าร่วมกลุ่มฝึกและเริ่มจริงจังกับศาสตร์ชี่กงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จากนั้นผมได้ติดตามกลุ่มนี้มาตลอด การฝึกชี่กง 18 ท่าช่วงแรก ยังไม่ประสบผลอะไร ยังไม่สามารถสัมผัสคลื่นสนามแม่เหล็กจักรวาลที่ภาษาชี่กง เรียกว่า “ชี่ หรือพลังชีวิต” ได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่น ศรัทธา ที่จะเรียนรู้แสวงหาทางโดยไม่ลดละ ผมติดตามเรื่องนี้มาต่อเนื่อง และคงไม่ใช่ความบังเอิญอีกครั้ง ที่ผมไปพบหนังสือชี่กงขยับนิ้วป้องกันมะเร็งที่ร้านหนังสือ ลองอ่านดูผมให้ความสนใจขึ้นมาทันที เพราะขณะนั้นมี คนใกล้ชิด และคนที่ผมรู้จัก หลายคนป่วยเป็นโรคมะเร็ง ผมตัดสินใจเดินตามรอยของหนังสือเล่มนี้ ค้นหา สอบถามว่า อาจารย์ หยาง เผยเซิน สอนอยู่ที่ไหน ภายหลังทราบว่า ท่านสอนอยู่ที่โรงเจเล่งฮั้ว ซึ่งเป็นโรงเจเก่าแก่แห่งหนึ่งย่านใกล้วัดพิเรนทร์ แถวถนนวรจักร ท่านสอนช่วงเย็น 19.00 -21.00 น. ผมจึงตัดสินใจไปสมัครเรียนวิชาชี่กงขั้นที่ 1 และชี่กงขั้นที่ 2 ทันที
ช่วงนั้น อาจารย์หยางสอนเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วปนไทยบ้าง แต่มีศิษย์รุ่นพี่เป็นผู้ช่วยแปลเป็นภาษาไทยให้ชัดเจน นับว่าเป็นความโชคดีของผมจริงๆ ที่ได้ค้นพบศาสตร์ชี่กงที่คนโบราณเมื่อ 1,000 ปีก่อน ให้การยอมรับ เมื่อฝึกไปได้ระยะหนึ่ง ผมสัมผัสได้ด้วยตัวเองว่า วิชานี้เป็นของจริงที่ผู้ฝึกปฏิบัติสามารถรู้ได้ด้วยตนเอง (ที่ศาสนาพุทธใช้คำว่า ปัจจัตตัง) นับว่าเป็นวิชาที่เพิ่มพลังแท้ให้กับร่างกาย สามารถบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ปรับสมดุลให้กับทุกอวัยวะในร่างกายในส่วนที่ผิดปกติ โดยไม่ต้องไปพึ่งแพทย์แผนปัจจุบันมาก และยังเป็นการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่ยังไม่แสดงอาการ ตามหลักการแพทย์แผนจีน ที่เน้นการป้องกันโรคที่ยังไม่เกิดขึ้น ดีกว่าการรักษา
จากนั้นผมมุ่งมั่น ศรัทธา เรียนชี่กงในขั้นที่สูงขึ้น ได้สมัครเรียนสมาธิขั้นสูง ตามทฤษฎีเสี่ยวโจวเทียน ที่ศูนย์ธรรมชาติบำบัดอาจารย์หยาง อยู่ที่ถนนทรัพย์ สุรวงศ์
อันที่จริงผมไม่ได้มีปัญหาสุขภาพ แต่นิสัยส่วนตัวผมที่เน้นหลักการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่รอให้ตัวเองเจ็บป่วย แล้วค่อยไปหาหมอหาวิธีรักษา เหมือนที่หลายๆคน เป็นกัน และจากการที่ผมมีพื้นฐานวิชาชี่กงขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ทำให้ฝึกนั่งสมาธิขั้นสูง ตามทฤษฎีเสี่ยวโจวเทียนในแบบกำหนดจิต ตามลมหายใจ หรือฝึกการเคลื่อนไหวของลมปราณ ตามหลักการชี่กงชั้นสูงที่ว่าข้างนอกสงบ ข้างในเคลื่อนไหว โดยมีเป้าหมายตามหลักวิชา เพื่อการสะสมพลังชี่ หรือพลังแท้ให้กับร่างกาย ฝึกช่วงแรกมีการปรับร่างกาย ด้วยการเคลื่อนไหวจากท่ากายบริหาร เพื่อให้ลมปราณปลอดโปร่ง และเลือดลมเกิดความสมดุล จากนั้นเรียนรู้การปรับลมหายใจตามแบบวิชาชี่กง โดยหายใจลึกถึงท้องน้อย และใช้จิตเฝ้าอยู่ที่ท้องน้อย หรือจุดตันเถียน (เลยสะดือไป 4 นิ้ว) ซึ่งหากฝึกตามสำเร็จตามขั้นตอน ชี่หรือพลังลมปราณที่จุดตันเถียนจะมีการเคลื่อนไหว จากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการบำเพ็ญจิตเพื่อกำหนดทิศทางโคจรลมปราณให้หมุนเป็นวงกลมรอบตัวเรา
การฝึกของผมยังไม่ประสบความสำเร็จมากนักในช่วงแรก แต่จากคำสอนของอาจารย์หยาง ที่ว่า การฝึกให้สำเร็จต้องหมั่นสะสมบุญบารมีของเราให้มากพอ ให้หมั่นประกอบบุญกุศล ทำความดี และขอให้อดทนฝึกฝนต่อไป ช่วงนั้นผมมีโอกาสทำกิจกรรมจิตอาสาเพื่อสังคมร่วมด้วย และมุ่งมั่นฝึกต่อไปอย่างจริงจัง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมไปปฏิบัตธรรมนั่งสมาธิที่จังหวัดกาญจนบุรี นั่งติดต่อกันเป็นเวลา 10 วัน ตามแนวเจริญสติแบบพุทธศาสนา แต่ผลที่ได้กลับเป็นการโคจรลมปราณตามทฤษฎีเสี่ยวโจวเทียน ผมสัมผัสถึงพลังลมปราณหมุนเอง ซึ่งเป็นไปตามหลักวิชา โดยพลังเคลื่อนไหวไปตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ทะลุทะลวงเส้นประสาทเยิ่นม่าย และตู๋ม่าย ซึ่งเป็นภาวะของการนั่งสมาธิระดับสูง และได้ประสบสภาวะที่มหัศจรรย์อื่นๆ อันเป็นความก้าวหน้าของการฝึกเสี่ยวโจวเทียนที่มิได้คาดหวังมาก่อน ผมมาไตร่ตรองพิจารณาภายหลังว่าเมื่อบุญบารมีถึง การฝึกเสี่ยวโจวเทียนของเราก็จะสำเร็จได้เองไม่วันใดก็วันหนึ่ง ประกอบกับการประกอบความดีในหลายๆ เรื่อง ซึ่งทำไปโดยเจตนาที่บริสุทธิ์ไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ
ปัจจุบันผมสัมผัสได้ถึงความสงบเย็นของจิตใจ มีสุขภาพร่างกายเปลี่ยนไป แข็งแรงกว่าเดิมมาก แทบจะไม่เคยเจ็บป่วย และแลดูอ่อนเยาว์กว่าวัยมาก สังเกตุจากผิวพรรณดีผ่องใสขึ้น เป็นเพราะพลังลมปราณที่ไปหมุนได้ไปปรับอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย รวมทั้งเซลล์ให้เกิดความสมดุลซ่อมแซมส่วนที่สึกหร่อ ที่ชัดเจนคือสายตา ปกติผมสายตาสั้น 300 ต้องใส่แว่น เมื่อการฝึกตามศาสตร์เสี่ยวโจวเทียนทะลุ สายตาผมเปลี่ยนสั้นน้อยลงกลับมาอยู่ที่ 175 ไม่สามารถใช้แว่นอันเดิมได้ และน้ำหนักลดลง อาการออฟฟิศซินโดรม ปวดคอ หลังบ่าไหล่ ที่เคยเป็นก็เบาบางลง เพราะพลังลมปราณได้ไปหมุนและรักษาในจุดที่ติดขัดทั่วร่างกายด้วยตัวของเขาเอง(self-healing)
ปัจจุบันผมดำเนินชีวิตด้วยความเรียบง่าย และมองว่า ความสุขเริ่มง่ายๆ ที่ตัวเรา เริ่มที่ความคิด ทัศนคติ และมุมมองโลกของเรา ….. คิดดี พูดดี ทำดี ชีวิตก็จะมีแต่เรื่องดีๆ และผมเชื่อว่า ที่ผมมีวันนี้และในสภาพร่างกายและจิตใจเช่นนี้ได้ ก็เพราะครั้งหนึ่งได้ตัดสินใจเลือกทางเดินที่ถูกต้องให้กับชีวิตตัวเอง
นายวิรัชกล่าวว่า อานิสงส์จากการเรียนวิชา ชี่กง และฝึกปฏิบัติเสี่ยวโจวเทียนกับอาจารย์หยางทำให้ผมสามารถดูแลช่วยเหลือตัวเองได้ มีสุขภาพทีดี และร่างกายแข็งแรง จิตใจที่สงบ และตั้งมั่น (ตามหลักการของเต๋าที่ว่า จิตใจที่สงบต้องอยู่ในร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น) จึงมีเวลา และโอกาส ที่จะทำการงานเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ช่วยเหลือครอบครัว คนรอบข้าง สังคมและตอบแทนบุญคุณให้กับประเทศชาติสืบต่อไป (ตามหลักพุทธศาสนาที่ว่า เมื่อช่วยตัวเองได้ จึงช่วยผู้อื่นได้)
ซึ่งนอกจากหน้าที่การงานในทางโลกแล้ว ปัจจุบันผมยังเป็นผู้ทำงานจิตอาสาให้กับมูลนิธิ พันดารา และหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพ) ซึ่งเป็นไปตามหลักเหตุปัจจัย และหลักความไม่ประมาท กล่าวคือถ้าไม่ตัดสินใจดูแลตัวเอง ด้วยการเรียน ชี่กงและเสียวโจวเทียน เมื่อหลายปีที่แล้ว ก็คงไม่มีสภาพชีวิตที่ดีอย่างในทุกวันนี้ …. ด้วยสำนึกในบุญคุณ