“จีน”จัดประชุมใหญ่ในไทย หวังดึงคนไทย-จีน เดินหน้าลงทุน สานต่อสัมพันธ์ 2 ประเทศ
ในเวที “การประชุมส่งเสริมการลงทุนประเทศไทยปี 2567 เขตเตียนจงซิน มณฑลยูนนาน” สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2567 ณ โรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยท์ สุรวงศ์ กรุงเทพฯ ประเทศไทย ได้มีคณะทำงานระหว่างภาครัฐของจีน และ ตัวแทนคณะทำงานด้านส่งเสริมการลงทุนของไทย เข้าร่วมประชุม โดยมี “นายเปา ซู” รองผู้อำนวยการ คณะกรรมการบริหารเขตเตียนจงซิน มณฑลยูนนาน เป็นประธานกล่าวคำปราศรัยเปิดการประชุม และ ตามมาด้วยนายไกรสินธุ์ วงศ์สุรไกร กรรมการรองเลขาธิการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นตัวแทนฝ่ายภาคการส่งเสริมด้านการลงทุนของไทยขึ้นกล่าวคำปราศรัย
“นายเปา ซู” รองผู้อำนวยการ คณะกรรมการบริหารเขตเตียนจงซิน มณฑลยูนนาน
ภายในงานการประชุมครั้งนี้ ได้มีการประชาสัมพันธ์เขตเตียนจงซิน มณฑลยูนนาน โดยนายพาน เฉิน รองผู้อำนวยการ สำนักส่งเสริมการลงทุนเขตเตียนจงซิน ขึ้นกล่าวคำปราศรัย พร้อมด้วยนายสมไชย ศรีวิโรจ รองประธาน สมาคมการค้าและอุตสาหกรรมไทย ขึ้นกล่าวปราศรัยในเวทีประชุมดังกล่าว
สำหรับนายไกรสินธุ์ วงศ์สุรไกร ตัวแทนฝ่ายไทย ในฐานะกรรมการรองเลขาธิการ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวคำปราศรัยบนเวที โดยมีใจความสำคัญว่า ไทยและจีนมีความสัมพันธ์อันดีอย่างยอดเยี่ยมในลักษณะทวิภาคี และมีความร่วมมือกันอย่างมากมาย โดยที่ผ่านมาทางหอการค้าไทย, สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาหอการค้าจีน และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมมือกันทำวิจัยประเด็น การลงทุนในไทย เพื่อวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์การลงทุนในปัจจุบัน เพื่อพัฒนาศักยภาพของไทย ให้พร้อมรองรับนักลงทุนจีนมากขึ้น
“มณฑลยูนนานเปรียบเสมือนประตูของอาเซียน ในการเชื่อมเส้นทางคมนาคมในเส้นทางรถไฟ R3A ผ่านแม่น้ำโขงไปยังลาวและจีน โดยที่ผ่านมามณฑลยูนนานและไทยมีมูลค่าการลงทุนร่วมกันถึง 1,927 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นมูลค่าราว 65,518 ล้านบาท) โดยมีสินค้าเกษตรสำคัญที่สร้างมูลค่าทางการค้า ได้แก่ ทุเรียน มังคุด ลำไย และ สินค้าเกษตรอื่นๆอีกจำนวนมาก” นายไกรสินธุ์ กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนภาคการลงทุนระหว่างไทยและจีน ทางสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยมองว่า ในปี 2568 จะมีการส่งเสริมการลงทุนใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การท่องเที่ยว, การศึกษา และ คนรุ่นใหม่ระหว่างไทยและจีน รวมทั้งขอให้นักลงทุนจีนที่สนใจมาลงทุนในไทยติดต่อมายัง 4 หน่วยงานหลักในไทย ได้แก่ หอการค้าแห่งประเทศไทย (หอการค้าไทย), หอการค้าไทย-จีน(Thai CC), สมาคมการค้าวิสาหกิจจีน (ในประเทศไทย) และ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย เพื่อความมั่นคงและปลอดภัยด้านการลงทุนในไทย
ส่วนนายสมไชย ศรีวิโรจ รองประธาน สมาคมการค้าและอุตสาหกรรมไทย มองว่า ในปี 2568 นักลงทุนจีนจะสนใจมาลงทุนด้านชิ้นส่วนยานยนต์ในไทยมากขึ้น และอุปกรณ์ด้านการแพทย์ รวมทั้งการลงทุนด้านพลังงานสะอาดอย่างโซล่าร์เซลล์
นอกจากนี้ มีแนวโน้มว่า ชาวจีนที่มีกำลังซื้อจะมาท่องเที่ยวในไทยมากกว่าปี 2568 เพราะฉะนั้นจึงแนะนำว่า ภาคนักธุรกิจไทยต้องทำการบ้านในการเตรียมรับการลงทุนของชาวจีนในไทย ที่จะมีความชัดเจนมากกว่าปีนี้
ขณะที่นายพาน เฉิน รองผู้อำนวยการ สำนักส่งเสริมการลงทุนเขตเตียนจงซิน มณฑลยูนนาน กล่าวว่า สองประเทศนี้คือ จีนและไทย เปรียบเสมือนไข่มุกที่ส่องแสงอันงดงามมาตลอด ตั้งแต่มีเส้นทางสายไหม หรือ ซิลค์โรด (Silk Road) และนโยบาย 1 แถบ 1 เส้นทาง (OBOR : One belt One Road) ในปัจจุบัน ในการสร้างประเทศให้ทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดี
นายพาน เฉิน ยังได้พูดถึงจุดเด่นของยูนนานว่า เป็นอีกหนึ่งเมืองมหัศจรรย์ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “อาณาจักรแห่งโลหะที่ไม่ใช่เหล็ก” และ ยูนนานยังเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าธรรมชาติ ทั้งพลังงานลม, พลังงานน้ำ และ พลังงานไฟฟ้าโซล่าร์เซลล์ รวมทั้งยังมีสินค้าเกษตรที่ครองอันดับ 1 ของจีน ได้แก่ ผลผลิตใบชา,ข้าว, ดอกไม้สด, เมล็ดกาแฟ, ยางธรรมชาติ,วอลนัท และ สมุนไพรจีน โดยในส่วนสมุนไพรจีนที่พบในยูนนานมีถึงกว่า 2,000 ชนิด และ มีทรัพยากรชีวภาพด้านชนิดของพันธุ์ไม้คิดเป็น 59% ของจำนวนพันธุ์ไม้ทั้งหมดที่มีอยู่ในจีน
รวมทั้งในยูนนานยังมีอาหารพื้นเมืองที่สำคัญ เช่น หมูพันปี , สมุนไพรตุ๋นยาจีน และ เมนูอาหารที่ทำจากเห็ดมัตสึทาเกะ และ เห็ดทรัฟเฟิลดำ
ภายในงานประชุมดังกล่าว ยังได้มีพิธีสำคัญ โดยตัวแทนของภาครัฐจีน และ ตัวแทนด้านการส่งเสริมการลงทุนไทย ได้ทำพิธีลงนามความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง คณะกรรมการบริหารเมืองวิทยาศาสตร์เตียนจง สำนักงานบริหารเมืองวิทยาศาสตร์เตียนจง เขตเตียนจงซิน มณฑลยูนนาน และ สหพันธ์ผู้ประกอบการ หรือที่เรียกว่า “ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคของอาเซียน” (RCEP : Regional Comprehensive Economic Partnership)