“เอสซีจี” มั่นใจบริหารกระแสเงินสดแข็งแกร่งเคาะปันผลเกือบ 100% ของกำไร
เอสซีจี มั่นใจบริหารกระแสเงินสดแข็งแกร่งเคาะปันผลเกือบ 100% ของกำไร มุ่งดูแลผู้ถือหุ้นทุกคนต่อเนื่อง ย้ำสุขภาพองค์กรแข็งแรง คว้าโอกาสเศรษฐกิจในภูมิภาคฟื้น
30 มกราคม 2568 – เอสซีจี เผยผลประกอบการปี 2567 บริหารกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) 53,946 ล้านบาท จากการบริหารต้นทุนเข้มข้น ผลักดันนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง ลดเงินทุนหมุนเวียนต่อเนื่อง เน้นลงทุนโครงการผลตอบแทนสูงและเร็ว หนี้ลดลงจากไตรมาสที่แล้ว มุ่งดูแลผู้ถือหุ้นทุกคนต่อเนื่อง เคาะปันผล 5.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 95% ของกำไร มั่นใจสุขภาพองค์กรแข็งแรง คว้าโอกาสเศรษฐกิจในภูมิภาคฟื้นตัว ในปี 2568
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ปี 2567 เอสซีจีสามารถบริหารกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้เป็นที่น่าพอใจ อยู่ที่ 53,946 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับปี 2566 เป็นผลจากการปรับตัวสู้ความท้าทายจากวัฏจักรปิโตรเคมีชะลอตัว สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ต้นทุนพลังงานผันผวน และอัตราดอกเบี้ยสูง ขณะที่ในไทย การเบิกจ่ายงบประมาณรัฐล่าช้าจากปีก่อน หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง สินค้าจีนเข้ามาแข่งขัน ทำให้เอสซีจีคงความแข็งแกร่ง และสามารถดูแลผู้ถือหุ้นทุกคนให้ได้รับผลตอบแทนการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ปี 2567 คณะกรรมการบริษัทฯ จึงได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี ในอัตราหุ้นละ 5.00 บาท รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท คิดเป็น 95% ของกำไร
เอสซีจี มุ่งสร้างสุขภาพองค์กรให้แข็งแรง ด้วยการรักษากระแสเงินสด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารธุรกิจ ที่ผ่านมาได้เดินหน้ามาตรการเสริมความเข้มแข็ง ซึ่งได้แถลงไปเมื่อสิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 มีความคืบหน้าเป็นอย่างดี 1.) บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน ลดลงประมาณ 6,200 ล้านบาทจากปีก่อน 2.) ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ และหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรในปี 2567 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน 3.) ควบคุมเงินลงทุน (CAPEX) เน้นเฉพาะโครงการที่มีผลตอบแทนสูงและเร็ว ทั้งหมดนี้ ส่งผลให้หนี้สินสุทธิลดลง 16,777 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน อัตราหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเท่ากับ 0.7 เท่า สถานะทางการเงินยังมั่นคงและแข็งแกร่ง โดยมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นปี 53,331 ล้านบาท
เอสซีจี พร้อมคว้าโอกาสเศรษฐกิจภูมิภาคฟื้นตัว การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐของไทยคาดว่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อาเซียน โดยเฉพาะเศรษฐกิจอินโดนีเซีย เวียดนาม GDP มีแนวโน้มเติบโตกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดยมีแรงสนับสนุนจากกำลังซื้อในประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เช่น เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล เร่งขยายโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้างและสินค้าเพื่อที่อยู่อาศัย ‘Mitra 10’ ที่อินโดนีเซีย ตามเป้าหมาย 56 สาขา ในปี 2567 รับลูกค้ารวมมากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน และมุ่งสู่ 100 สาขาภายในปี 2573 ด้าน เอสซีจีพี การบริโภคภายในกลุ่มอาเซียนรวมถึงความต้องการใช้กระดาษบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
เอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) แม้ว่าปี 2567 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีในภูมิภาคมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นจากกำลังการผลิตใหม่ ๆ ที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ความต้องการสินค้าอ่อนตัวจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว บริษัทได้เร่งผลักดันนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และการบริหารจัดการกระแสเงินสด ต้นทุน และเงินทุนหมุนเวียนอย่างระมัดระวัง ทำให้ธุรกิจคงความสามารถในการแข่งขันต่อเนื่อง ขณะที่ปี 2568 วัฏจักรปิโตรเคมีเริ่มทรงตัว ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง บริษัทคงเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกระแสเงินสดและต้นทุน
ล่าสุด เอสซีจีซี เร่งเดินหน้าโครงการ LSP ด้วยการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทน ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระยะยาว โดยได้ทำสัญญาจัดหาวัตถุดิบก๊าซอีเทนในระยะยาวเป็นผลสำเร็จ ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี และเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทนระยะยาวอีก 3 ลำ ทั้งนี้ บริษัทจะเร่งจัดหาเรือในส่วนที่เหลืออีก 2 ลำ พร้อมทั้งสร้างถังเก็บและปรับปรุงโรงงาน ให้พร้อมรับก๊าซอีเทนให้ได้ภายในปี 2570 โดยโครงการนี้ใช้แหล่งเงินทุนภายในเอสซีจี
ขณะเดียวกัน เอสซีจี รุกขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ เร่งดันปูนคาร์บอนต่ำ คาดว่าปีนี้จะมียอดส่งออกได้อีกประมาณ 1 ล้านตัน ด้าน เอสซีจี เดคคอร์ ส่งออกกระเบื้อง X- PORCELAIN ความแข็งแรงสูง ได้ผลตอบรับดี ตั้งเป้าการส่งออกเติบโต 2 เท่าในปีนี้ ขณะที่ เอสซีจีพี ส่งออกบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ บรรจุภัณฑ์อาหาร และกระดาษพิมพ์เขียน มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ดันกลุ่มสินค้าสมาร์ทโซลูชัน อาทิ สินค้า Air Quality และ Solar จากแบรนด์ ONNEX by SCG Smart Living ตอบโจทย์การอยู่อาศัยทั้งเรื่องคุณภาพอากาศในบ้าน และประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงานสะอาด พร้อมออกสินค้ากลุ่มราคาย่อมเยาต่อเนื่อง เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคที่มีงบประมาณจำกัด ครบทั้งกลุ่มหลังคา บอร์ด ไม้สังเคราะห์ และผนังพื้นตกแต่งภายนอกบ้าน รวมทั้ง เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ ปี 2567 มีโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวม 548 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 21.5% ตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตพลังไฟฟ้าสะอาดรวมประมาณ 3,500 เมกะวัตต์ ในปี 2573
นายธรรมศักดิ์ ย้ำทิ้งท้าย “เอสซีจี ปรับตัวต่อเนื่อง และขยายสู่ตลาดใหม่ ๆ เชื่อมั่น ปี 2568 สามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมดูแลผู้ถือหุ้นทุกคนได้ต่อเนื่อง”
ผลประกอบการปี 2567 รายได้จากการขาย 511,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจีซี และเอสซีจีพี กำไรสำหรับปี 6,342 ล้านบาท ลดลง 76% จากปีก่อน จากผลประกอบการของ LSP และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาคและกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน เมื่อปี 2566 กำไรสำหรับปี ลดลง 52% จากปีก่อน ขณะที่ ไตรมาส 4 ปี 2567 รายได้จากการขาย 130,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจีซี ขาดทุนสำหรับงวด 512 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไร 721 ล้านบาทในไตรมาสก่อน จากผลประกอบการและการรับรู้ค่าเสื่อมราคาทั้งหมดของ LSP ขณะที่ไตรมาสก่อน มีรายการเงินสดที่ได้จากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย หรือ Interest Rate Swap (IRS) มูลค่า 2,183 ล้านบาท จากเอสซีจีซี
ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท กำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัทตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 3 เมษายน 2568 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 เมษายน 2568) โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 เมษายน 2568 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี
ข้อมูลสําคัญทางการเงินของเอสซีจี ประจำปี 2567 และไตรมาส 4 ปี 2567
ผลการดำเนินงานภาพรวม
งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของเอสซีจี ประจำปี 2567 EBITDA 53,946 ล้านบาท จากการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และเงินปันผลรับจากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) ขณะที่ รายได้จากการขาย 511,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจีซี และ เอสซีจีพี
กำไรสำหรับปี 6,342 ล้านบาท ลดลง 76% จากปีก่อน จากผลประกอบการของโรงงานปิโตรเคมี LSP และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาคและกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในปี 2566 กำไรสำหรับปี ลดลง 52% จากปีก่อน
ไตรมาส 4 ปี 2567 รายได้จากการขาย 130,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจีซี ขาดทุนสำหรับงวด 512 ล้านบาท จากผลประกอบการและการรับรู้ค่าเสื่อมราคาทั้งหมดของ LSP
สินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High-Value Added Products & Services – HVA) ปี 2567 มีรายได้ 154,386 ล้านบาท คิดเป็น 38% ของรายได้จากการขายรวมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม SCG Green Choice ปี 2567 มีรายได้ 275,573 ล้านบาท คิดเป็น 54% ของรายได้จากการขายรวม
รายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากไทยในปี 2567 ทั้งสิ้น 234,400 ล้านบาท คิดเป็น 46% ของยอดขายรวม
สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 มีมูลค่า 861,502 ล้านบาท โดย 46% เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน (นอกเหนือจากไทย)
ผลการดำเนินงานแยกตามธุรกิจ
• เอสซีจี เคมิคอลล์ (เอสซีจีซี) ปี 2567 EBITDA 7,363 ล้านบาท ขาดทุนสำหรับปี 7,990 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไร 589 ล้านบาทในปีก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายของ LSP ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง รายได้จากการขาย 210,298 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจาก LSP
สำหรับไตรมาส 4 ปี 2567 EBITDA 1,436 ล้านบาท ขาดทุนสำหรับงวด 3,403 ล้านบาท เมื่อเทียบกับขาดทุน 1,480 ล้านบาทในไตรมาสก่อน เนื่องจากรับรู้ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของ LSP และในไตรมาสก่อน มีรายการเงินสดที่ได้จากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยหรือ Interest Rate Swap (IRS) มูลค่า 2,183 ล้านบาท โดยมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ 1,067 ล้านบาท ทั้งนี้ เอสซีจีซีมีอัตราการดำเนินงาน (Operating Rate) สูงกว่าอุตสาหกรรม เนื่องจากการบริหารจัดการโรงงานในไทยและเวียดนาม รายได้จากการขาย58,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น
• เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ปี 2567 EBITDA 11,492 ล้านบาท กำไรสำหรับปี 2,428 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,620 ล้านบาท จากปีก่อน จากการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตและต้นทุนพลังงานดีขึ้น ในขณะที่ปีก่อนมีรายการขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาค มูลค่า 2,214 ล้านบาท รายได้จากการขาย 81,891 ล้านบาท ลดลง 5% จากปีก่อน เนื่องจากความต้องการสินค้าที่ลดลงจากภาคครัวเรือน และการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้าจากปีก่อน
สำหรับไตรมาส 4 ปี 2567 EBITDA 2,410 ล้านบาท กำไรสำหรับงวด 238 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสก่อนจากการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตและต้นทุนพลังงานดีขึ้น รายได้จากการขาย 19,862 ล้านบาท ลดลง 5%จากไตรมาสก่อน จากความต้องการสินค้าที่ลดลง
• เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล ปี 2567 EBITDA 3,361 ล้านบาท กำไรสำหรับปี 1,087 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 177 ล้านบาทจากปีก่อน จากการบริหารจัดการต้นทุนมีประสิทธิภาพและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้นจากเอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล รายได้จากการขาย 140,165 ล้านบาท ลดลง 8% จากปีก่อน เนื่องจากความต้องการตลาดฟื้นตัวช้า หลักๆ จากภาคครัวเรือน สำหรับไตรมาส 4 ปี 2567 EBITDA ขาดทุน 20 ล้านบาท ขาดทุนสำหรับงวด 385 ล้านบาท จากปริมาณขายที่ลดลงจากภาคครัวเรือน รายได้จากการขาย 32,904 ล้านบาท ลดลง 2% จากไตรมาสก่อน จากความต้องการของตลาดและสภาพตลาดที่ฟื้นตัวช้า หลักๆ จากภาคครัวเรือน
• เอสซีจีพี ปี 2567 EBITDA 16,138 ล้านบาท ลดลง 9% จากปีก่อน กำไรสำหรับปี 3,699 ล้านบาท ลดลง 30% จากปีก่อน รายได้จากการขาย 132,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน
• เอสซีจี เดคคอร์ ปี 2567 EBITDA 3,134 ล้านบาท ลดลง 4% จากปีก่อน กำไรสำหรับปี 810 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อน รายได้จากการขาย 25,563 ล้านบาท ลดลง 10% จากปีก่อน