องคมนตรี ปาฐกถาพิเศษ “การแพทย์และสาธารณสุขเพื่อกลุ่มเปราะบางสู่ความยั่งยืน” งาน HA National Forum ครั้งที่ 25

ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ปาฐกถาพิเศษ “การแพทย์และสาธารณสุขเพื่อกลุ่มเปราะบางสู่ความยั่งยืน” ในการประชุมวิชาการประจำปี HA National Forum ครั้งที่ 25 ฝากช่วยเสริมโรงพยาบาลอ่อนแอให้เข้มแข็ง พร้อมขยายทำงานช่วยชุมชน คนเก่งไม่จำเป็นต้องอยู่เฉพาะในสถานพยาบาลเท่านั้น

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย องคมนตรีปาฐกถาพิเศษ “การแพทย์และสาธารณสุขเพื่อกลุ่มเปราะบางสู่ความยั่งยืน” ภายในการประชุมวิชาการประจำปี HA National Forum ครั้งที่ 25 ภายใต้ธีม: “BUILDING QUALITY & SAFETY CULTURE FOR THE FUTURE SUSTAINABILITY” สร้างวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย ก้าวสู่อนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-21 มีนาคม 2568
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม กล่าวในการปาฐกถาพิเศษ ว่า หากกล่าวถึงโครงสร้างการบริหารของประเทศ ในเรื่องสุขภาพ อย่างโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป(รพศ./รพท.) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลจังหวัด และโรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ รวมถึงโรงพยาบาลเอกชน ก็จะอยู่ในเมือง แต่หากพูดถึงโรงพยาบาลที่ห่างออกไปอีก จะเป็นโรงพยาบาลชุมชน และถัดออกไปอีก คือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) กลุ่มนี้จะใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ซึ่งการดูแลสุขภาพ คุณภาพชีวิตในระดับพื้นที่ การมีส่วนร่วมของชุมชนสำคัญมาก
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม กล่าวอีกว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนในระดับพื้นที่ มี 2 กลไกสำคัญ คือ กลไกแรก พชอ. คือ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระดับอำเภอ มีนายอำเภอเป็นประธาน มีหัวหน้าส่วนราชการ บางแห่งมีพระสงฆ์ ผู้นำชุมชนร่วมกันทำงาน โดยแต่ละปีก็จะกำหนดหัวข้อให้คนทั้งอำเภอช่วยกันแก้ปัญหา อย่างอำเภอหนึ่งในภาคอีสาน กำหนด 3 ข้อ ว่า 1.ปีหน้าดูแลคนสูงอายุในอำเภอ 2.ลดความเสี่ยงคนเกิดมะเร็ง ก็หันมาปลูกผักไร้สาร และ3. เด็กวัยรุ่นในอำเภอ มีปัญหาติดยาเสพติด ต้องมาช่วยกัน อย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ตำรวจกับครูเท่านั้น นี่คือการกำหนดวาระประจำปีระดับอำเภอ
ส่วนอีกกลไก คือ บวร คือ บ้าน วัด และรพ. ซึ่ง ตัว “ร” จะปรับไปตามงาน อย่างหากเรื่องการศึกษา ก็จะเป็น โรงเรียน แต่หากเป็นเรื่องสุขภาพ ก็เป็น โรงพยาบาล เป็นต้น อย่างพี่น้องสามจังหวัดภาคใต้ จะมีมัสยิด ก็จะเป็น “บมร” คือ บ้าน มัสยิด และโรงเรียน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ อยู่ในพื้นที่ชุมชน พื้นที่ที่ห่างไกล เป็นไปได้หรือไม่ หากโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ระดับจังหวัด โรงพยาบาลโรงเรียนแพทย์ เข้ามาช่วยกันในระดับพื้นที่

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม กล่าวว่า คำว่าเปราะบาง หมายถึง กลุ่มที่ไม่มีอะไรคอยสนับสนุน แต่เราสามารถเข้าไปช่วยเสริมให้พวกเขาเข้มแข็ง ซึ่งกลุ่มเปราะบาง แบ่งเป็น เด็กเยาวชน ผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้ แต่จริงๆมีมากกว่านี้ ยกตัวอย่าง กลุ่มเด็กและเยาวชน ณ ปัจจุบันมีความเปราะบางมาก แม้แต่ในเมือง คนในเมืองก็ประสบปัญหา อย่างเรื่องสุขภาพจิต ขณะที่จิตแพทย์ นักจิตวิทยา ไม่เพียงพอกับความต้องการที่สูงขึ้น กลุ่มผู้พิการก็เพิ่มขึ้น กลุ่มผู้สูงอายุมีจำนวนมาเช่นกัน อย่างบางตำบล 30% อย่างตำบลหนึ่งที่สิงห์บุรี 40% ส่วนผู้ยากไร้มีจำนวนมากเช่นเดียวกัน
“ตัวอย่างของการแก้ปัญหา อย่างระบบการศึกษาและอาชีพ มีโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด.) ในหลวงท่านให้ความสำคัญประชาชนในทุกกลุ่ม ในส่วนที่ระบบใหญ่ไม่ครอบคลุม พระองค์เห็นถึงความสำคัญของการสร้างอาชีพ จึงอยากฝากถึงในส่วนของโรงพยาบาล เวลาเราทำ เรารับรองคุณภาพ ก็ขอให้มองภาพใหญ่ด้วย ยังมีรพ.ที่ยังอ่อนแออยู่จะทำอย่างไร เราควรมีอะไรไปเสริมให้พวกเขาหายอ่อนแอ หายเปราะบาง หากทำได้ ก็จะทำให้โรงพยาบาลทั่วประเทศเข็มแข็งขึ้น” องคมนตรีกล่าว
ยกตัวอย่างโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ โดยเมื่อ พ.ศ. 2545 กรณีเหตุการณ์พายุแหลมตะลุมพุก จ.นครศรีธรรมราช กวาดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ลงทะเลจำนวนมาก เหลือเด็ก 200 คน ซึ่งขณะนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ถามผู้ว่าฯ ว่าใครจะดูแลเด็ก 200 คน จึงรับสั่งให้สร้างโรงเรียนเหมือนบ้าน ทำให้เกิดคอนเซปต์เป็นโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ จนปัจจุบันมี 100 กว่าแห่งรับเด็กกำพร้ามาดูแลจนถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 เคยพูดกับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ทั้งรัฐและเอกชน ว่าช่วยหาทุนให้เด็กศึกษาต่อ โดยเฉพาะพยาบาล แต่ที่ผ่านมามีแต่เอกชน ภาครัฐยังไม่มี
นอกจากนี้ ในส่วนของโรงพยาบาลสามารถช่วยได้ง่ายในเรื่องการคัดกรอง อย่างกลุ่มเด็กที่มีภาวะการเรียนรู้บกพร่อง หรือ LD และกลุ่มอาการออทิสซึม ซึ่งอยู่ในโรงเรียนต่างจังหวัด ในพื้นที่ห่างไกล ที่ผ่านมากรมสุขภาพจิตไปคัดกรอง ปรากฎว่า ช่วยให้คุณภาพชีวิตพวกเขาดีขึ้น บางรายรักษาหาย หรืออย่างที่จ.เชียงใหม่ มีโรงเรียนศรีสังวาลย์ ซึ่งอยู่ในมูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการในพระราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ตนเคยสอบถามครูว่า มีแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เข้ามาตรวจเยี่ยมหรือไม่

“ ขณะนั้นให้ลูกศิษย์ที่รพ.สวนดอก มาช่วยคัดกรองและบำบัดรักษา ปรากฎว่าคัดกรองไป 30 คน จนอาการดีขึ้น และหากทำในระดับทั่วประเทศจะส่งผลดีกว่านี้มาก โดยราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย หากเข้าไปตรวจคัดกรองก็จะช่วยให้เด็กๆกลุ่มนี้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ทำให้ความพิการน้อยลง หรือหายไปได้หรือไม่” องคมนตรีกล่าว
สำหรับผู้สูงอายุ มีหลายประเภท อย่างติดสังคม ติดบ้าน ติดเตียง แต่หากแบ่งฐานะการเงิน มีร้อยละ 7 มีฐานะ กลุ่มนี้ดูแลตัวเองได้ แต่ร้อยละ 12-13 พอเลี้ยงตัวเอง ขณะที่ร้อยละ 40 เลี้ยงตัวเองไม่ได้ แต่มีลูกหลานดูแล ส่วนอีกราว 40% ไม่อยู่ในข่ายข้างต้นเลย ในฐานะแพทย์ ระบบสาธารณสุขจะทำอย่างไรให้พวกเขามีความหวังในชีวิต
ขณะนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุ แต่รัฐบาลกลางไม่ได้ตั้ง ซึ่งจะมีสิทธิประโยชน์ การดูแลสุขภาพตนเอง และยังมีการฝึกอาชีพต่างๆ เพื่อให้กลุ่มที่ไม่มีใครดูแลสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หากเป็นไปได้ อยากให้โรงพยาบาลและโรงเรียนผู้สูงอายุ ทำข้อตกลงหรือ MOU ร่วมกัน อย่างเชียงใหม่ มีตลาดนัดผู้เกษียณ ให้ผู้สูงอายุปลูกผักและขายได้ หรือโรงพยาบาลบางแห่งอาจตั้ง “ศูนย์ให้เยี่ยมอุปกรณ์ทางการแพทย์ กายอุปกรณ์” สำหรับผู้สูงอายุ ทั้งนี้ อยากให้โรงพยาบาล ติดตามคนไข้ผู้สูงอายุที่ต้องกลับไปอยู่บ้านด้วยว่า อยู่กับใคร อยู่อย่างไร เพื่อคำนึงถึงการดำเนินชีวิตของพวกเขา
“ในหลวงรัชกาลที่ 10 รับสั่งกับท่านประธานองคมนตรี ว่า ระบบโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช(รพร.) ก่อตั้งมา 40 ปี อยากให้เอาความดีความเก่งของบุคลากร ออกไปทำงานในระดับชุมชน ตอนนี้เกิดโครงการต่างๆ 100 กว่าโครงการในชุมชน จากที่หมอพยาบาลไปทำงานช่วยเหลือชุมชนแล้ว” ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.เกษม กล่าว และว่า ยกตัวอย่าง ผอ.รพร.ปัว จ.น่าน รับมาดำเนินการ และได้เข้าไปพูดคุยกับทางหมู่บ้านไทลื้อ เพราะเป็นชุมชนที่เชื่อว่า ป่าไม้คือทำให้มีน้ำใช้ เขาจะไม่ตัดไม้ ทางผอ.รพร.ปัว จึงไปหารือและทำ MOU ว่า หากมีการปลูกผักไร้สารพิษ จะช่วยสร้างอาชีพ โดยโรงพยาบาลจะรับซื้อตลอดทั้งปี นี่คือความดีความเก่งของหมอพยาบาล ไม่ใช่เก่งเฉพาะในโรงพยาบาล แต่สามารถทำงานทำประโยชน์ให้ชุมชนได้เช่นกัน