“สภากาชาด” เปิดโครงการ
สร้างเสริมภูมิฯมะเร็งปากมดลูก
สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย จัดทำโครงการ “สร้างเสริมภูมิคุ้มกันมะเร็งปากมดลูก เฉลิมพระเกียรติ พระเทพรัตนราชสุดาฯ” ในโอกาสมหามงคล สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทยทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษาเพื่อบริการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวีที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงแก่นักเรียนหญิงอายุ 9 – 17 ปี ป้องกันได้20-30 ปี”
พลโท นายแพทย์อำนาจ บาลี ผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย เปิดเผยว่า ในโอกาสมหามงคลที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทยทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคในระยะยาวเพื่อป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ จึงจัดทำโครงการ “สร้างเสริมภูมิคุ้มกันมะเร็งปากมดลูก เฉลิมพระเกียรติ พระเทพรัตนราชสุดาฯ” โดยให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงกับเด็กนักเรียนหญิงในช่วงอายุ 9 – 17 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมกับการให้การป้องกันด้วยวัคซีน ภายใต้คำแนะนำจากคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติและองค์การอนามัยโลก เพื่อให้เด็กหญิงไทยที่ด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก เพื่อช่วยลดอุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกและลดความสูญเสียต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และนำไปสู่การลดค่าใช้จ่ายและลดปัญหาด้านสาธารณสุขของประเทศได้
แพทย์หญิงจุฑาภรณ์ พลายจั่น แพทย์ประจำสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ กล่าวว่า “มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่อันตรายสำหรับผู้หญิงทุกคน วิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบันสามารถยืนยันได้ว่าสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีจากการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งพบว่าสาเหตุการเกิดมะเร็งปากมดลูกกว่า 99.7 เปอร์เซ็นต์เกิดจากการติดเชื้อเอชพีวี วิธีการป้องกันที่ได้ผลดีที่สุดคือการฉีดวัคซีน และจะให้ดีที่สุดต้องฉีดให้กับเด็กผู้หญิงอายุไม่เกิน 15 ปีหรือที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์
แต่ในปัจจุบันวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวียังไม่ได้ถูกบรรจุในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคเพื่อให้บริการแก่เด็กหญิงทุกคนทั่วประเทศ การเข้าถึงสำหรับเด็กบางกลุ่มจึงเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะเด็กด้อยโอกาสที่หากภาครัฐหรือเอกชนไม่เข้ามาสนับสนุน พวกเขาก็อาจจะไม่ได้รับการป้องกันตรงนี้เลย จึงหวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกระจายบริการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีให้กับเด็กผู้หญิงทุกคนทั่วประเทศได้ในอนาคตอันใกล้นี้”
ร้อยตรีลมบล บุญมานะ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านคลองหลวง กล่าวว่า “ รู้สึกขอบคุณสภากาชาดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่นำวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวีที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูกมาให้บริการกับนักเรียนหญิงชั้นประถมศึกษา 5 ของเรา เพราะโอกาสที่เด็กเหล่านี้จะเข้าถึงวัคซีนดังกล่าวได้แทบจะเป็นศูนย์ เพราะผู้ปกครองหรือโรงเรียนเองก็ไม่สามารถจัดสรรให้ทุกคนได้ ทั้งนี้ ก็อยากจะให้กระจายไปสู่โรงเรียนอื่น ๆ ทั่วประเทศ ให้ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึงเช่นกัน”
นางสาวกุญชลีย์ สุคันวรานิล หัวหน้าสถานีกาชาดที่ 5 กล่าวว่า “เวลาออกหน่วยเพื่อตรวจคนไข้นอกสถานที่จะพบผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเป็นส่วนมาก เช่น เป็นไข้ เป็นหวัด หรือต่อมทอมซิลอักเสบ แต่สถานีกาชาดมักจะมีโครงการไปตรวจโรคพิเศษที่เราเห็นว่าสำคัญและควรได้รับการดูแลให้กับสถานประกอบการในเขตที่รับผิดชอบ เช่น ไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกให้กับพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมแล้วส่งตัวอย่างเซลล์ให้แพทย์ตรวจวิฉัยและส่งผลกลับมาให้พนักงานอีกที ถ้ามีผลตรวจที่ผิดปกติ เราก็จะแจ้งผู้ป่วยให้รีบพบแพทย์เพื่อตรวจเพิ่มเติมและหาแนวทางรักษาต่อไป แต่อย่างไรก็ดี คงจะดีกว่าถ้าเราสามารถป้องกันตัวเองตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ไม่เปลี่ยนคู่นอนหลายคน เพราะเชื้อไวรัสเอชพีวีส่วนใหญ่ติดมาจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือถ้ายังเด็กอยู่ ควรจะฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี เพราะสามารถป้องกันได้นานถึง 20-30 ปี”
ทั้งนี้โรคมะเร็งปากมดลูกเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของมะเร็งในสตรีไทย โดยมีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 14 รายและมีแนวโน้มพบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ โรคมะเร็งปากมดลูกไม่เพียงแต่เป็นภาระด้านสุขภาพอันสำหรับผู้หญิงทุกคนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงต้นทุนทางสังคมจำนวนมาก ดังนั้น องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ 6 องค์กร ประกอบด้วย ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมมะเร็งนรีเวชไทย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย และสมาคมอนามัยเจริญพันธุ์ ได้ร่วมกันจัดทำข้อเสนอแนะเรื่อง การฉีดวัคซีนเอชพีวีเพื่อให้การป้องกันมะเร็งปากมดลูกเป็นนโยบายสาธารณะที่เร่งด่วน โดยเสนอให้รัฐบาลฉีดวัคซีนเอชพีวีให้เด็กหญิงอายุ 12 ปีทุกคนและรณรงค์ให้มีการตรวจคัดกรองอย่างต่อเนื่องสำหรับสตรีอายุ 35 ปีขึ้นไป
สำหรับกิจกรรมในโครงการ “สร้างเสริมภูมิคุ้มกันมะเร็งปากมดลูก เฉลิมพระเกียรติ พระเทพรัตนราชสุดาฯ” ประกอบด้วย การอบรมบรรยายให้ความรู้เรื่องโรคมะเร็งปากมดลูกและวัคซีนเอชพีวีแก่ ครู ผู้ปกครอง ชุมชนและนักเรียนที่โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 6 โรงเรียน และการฉีดวัคซีนเอชพีวีแก่นักเรียนหญิง อายุ 9 – 17 ปี จำนวน 3 ครั้ง โดยครั้งแรกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2558 ครั้งที่ 2 เดือนธันวาคม-เดือนมกราคม 2559 และครั้งที่ 3 ในเดือนเมษายน 2559 หรือ 6 เดือนหลังจากการการฉีดครั้งแรก