คาดกนง.คงดอกเบี้ย1.50%
รับเชื่อมั่นผู้บริโภค-ธุรกิจฟื้น
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics คาด กนง.จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 1.50 ในการประชุมวันที่ 16 ธันวาคมนี้ หลังความเชื่อมั่นทั้งในส่วนของผู้บริโภคและภาคธุรกิจส่งสัญญาณดีขึ้น ช่วยเกื้อหนุนการฟื้นตัวของการบริโภคและการลงทุน ชี้ความเชื่อมั่นฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วช่วงไตรมาส 2 ผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลค่อยๆทยอยเกิดผล ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศที่เป็นปัจจัยถ่วงในปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งก่อนในวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะกรรมการมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.50 เนื่องจากนโยบายการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายเพียงพอ ค่าเงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่า ช่วยเกื้อหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ กนง. จะรอประเมินผลการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด ในขณะที่การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอาจไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก
สำหรับสถานการณ์ของเศรษฐกิจไทย ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายๆตัว เช่น ดัชนีการบริโภคและการลงทุนในภาคเอกชน บ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจไทยผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2 สะท้อนผ่านตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือจีดีพีในไตรมาส 3 ซึ่งขยายตัวได้กว่าร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นการขยายตัวถึงร้อยละ 1.0 จากไตรมาส 2 (หลังปรับฤดูกาล) เครื่องยนต์ที่สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ยังคงอยู่ที่ภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนในภาครัฐเป็นหลัก ในทางกลับกันอุปสงค์ในประเทศ ทั้งการบริโภคและการลงทุนในภาคเอกชนยังคงอยู่ในภาวะอ่อนแอ
อย่างไรก็ดี อุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยหนึ่งในปัจจัยสนับสนุนมาจากการฟื้นตัวของความเชื่อมั่น ซึ่งความเชื่อมั่นในหมวดหลักๆทั้ง 3 หมวด ได้แก่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ และความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ล้วนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน หลังมีการปรับคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในช่วงปลายเดือนสิงหาคม จนนำมาสู่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนตุลาคม เช่น การปล่อยกู้ผ่านกองทุนหมู่บ้าน มาตรการช่วยเหลือสภาพคล่องแก่เอสเอ็มอี และมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคส่งสัญญาณพลิกฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เดือนตุลาคม จากการศึกษาของศูนย์วิเคราะห์ฯ พบว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการบริโภคสินค้าคงทน เนื่องจากสินค้าคงทนส่วนใหญ่มีราคาค่อนข้างสูง เช่น รถยนต์ ดังนั้นผู้บริโภคจึงต้องมีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์ของเศรษฐกิจและรายได้พอสมควร ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าเหล่านี้
อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ได้แก่ ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากความเชื่อมั่นในหมวดนี้เป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนในภาคเอกชน ในปัจจุบัน หลายฝ่ายมองว่าปี 2559 จะเป็นปีแห่งการลงทุน เนื่องจากการเร่งลงทุนจากภาครัฐจะช่วยกระตุ้นการลงทุนในภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาของศูนย์วิเคราะห์ฯ พบว่าแรงผลักดันจากการลงทุนภาครัฐเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นการเร่งลงทุนของรัฐบาลจำเป็นจะต้องทำควบคู่ไปกับการกระตุ้นความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมหากเราต้องการให้ปี 2559 เป็นปีแห่งการลงทุนอย่างที่หลายฝ่ายตั้งความหวังไว้
โดยรวมแล้ว ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่าทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคและความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมจะมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย หลังเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วไปช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ออกไปก่อนหน้านี้จะค่อยๆทยอยแสดงประสิทธิผล ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศซึ่งเป็นปัจจัยถ่วงในปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ดังนั้น กนง. จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายถูกตรึงไว้ที่ร้อยละ 1.50 ในการประชุมวันที่ 16 ธันวาคมนี้