หนุนดูแลการศึกษา 3 ช่วงวัย
พัฒนาการศึกษาไทยแบบติดปีก
นักการศึกษา ชี้ดูแลการศึกษาผู้เรียนอย่างเหมาะสมใน 3 ช่วงวัยจะส่งผลให้มีทักษะทางกายภาพ ความฉลาดด้านสติปัญญา และความฉลาดด้านอารมณ์สูงขึ้นกว่าปกติ จนนำไปสู่การมีโอกาสเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น และเป็นแรงงานที่มีคุณภาพในอนาคต หนุนแนวคิดรัฐบาลด้านพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนที่ให้ความสำคัญสร้างคนให้เป็นพลเมืองมีคุณภาพตั้งแต่แรกเกิดถึงสูงวัย โดยมุ่งจัดการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลัก ซึ่งมีบทบาทวางรากฐานพัฒนาคนตั้งแต่วัยเรียนถึงวัยผู้ใหญ่
รศ.ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ รักษาการแทน ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาการจัดการศึกษาพิเศษ “คุณพุ่ม” คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ขอสนับสนุนนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ของรัฐบาล ด้วยการมุ่งเน้นพัฒนาการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับ 3 ช่วงวัย ดังนี้
1.วัยแรกเกิดถึงวัยอนุบาล บทบาทของพ่อแม่ผู้ปกครองมีความสำคัญมาก โดยพ่อแม่ผู้ปกครองต้องเตรียมเด็กเริ่มตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงการศึกษาภาคบังคับ ในวัยอนุบาล พ่อแม่ผู้ปกครองและครูต้องมีบทบาทร่วมกันในการส่งเสริมและสร้างประสบการณ์ เพื่อให้มีพัฒนาการที่ดีทั้ง 4 ด้าน และเกิดความรู้สึกที่ดีต่อตัวเอง เช่น ฝึกให้เด็กเคลื่อนไหวร่างกาย สอนให้เด็กช่วยเหลือตนเองได้เหมาะสมกับวัย โดยผู้ปกครองควรให้โอกาสเด็กได้ทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ด้วยตนเองเพื่อให้เด็กมีความพร้อมมากที่สุด เช่น ทานข้าว อาบน้ำ แต่งตัว เข้าห้องน้ำ ช่วยงานบ้านต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้นอกจากจะฝึกความคิด การตัดสินใจ การลงมือทำแล้ว ยังจะช่วยพัฒนาความภาคภูมิใจในตนเองให้กับเด็กเมื่อเขาทำเองได้
2.ระดับประถมศึกษา เป็นช่วงวัยแห่งความขยันหมั่นเพียร พร้อมจะเรียนรู้มุ่งมั่น ดังนั้น ครูจึงมีหน้าที่ในการสนับสนุน ไม่ควรตัดสินผู้เรียนเมื่อทำผิดพลาดว่าล้มเหลว หรือถูกตำหนิจากพ่อแม่ ซึ่งอาจทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถที่จะเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ ดังนั้น กระบวนการจัดการเรียนการสอนต้องเน้นให้ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ และพัฒนาความรู้ได้ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพของตนเอง สอนให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีการจัดกิจกรรมและกระบวนการให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
3.ระดับมัธยมศึกษา เป็นช่วงวัยที่เริ่มเผชิญกับความซับซ้อนของสังคม ดังนั้น เด็กในช่วงวัยนี้ต้องมีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และแยกแยะได้ ซึ่งครูต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและ ความสามารถในการค้นหาความรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ได้กำหนดมาตรฐานด้านการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาศักยภาพที่สำคัญของผู้เรียน โดยมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขใน 5 ประการ ดังนี้
1)ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้ง ตลอดจนเน้นให้ผู้เรียนเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
2)ความสามารถในการคิด คือ การที่ผู้เรียนสามารถพัฒนาหรือได้รับการฝึกฝนทักษะการคิดอย่างมีระบบ ส่งผลให้สามารถคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3)ความสามารถในการแก้ปัญหา ผู้เรียนสามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสม บนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรม การเข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม
4)ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยความสงบสุข พร้อมกับรู้จักปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม
5)ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้ผู้เรียนมีความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ ในการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม
ด้าน ศาสตราจารย์ ดร.ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) หรือ สมศ. กล่าวว่า สมศ. เห็นความสำคัญของพัฒนาการในการเรียนรู้ของเด็กในทุกช่วงวัย ที่ผ่านมาได้กำหนดตัวบ่งชี้ในการประเมินคุณภาพภายนอกที่เกี่ยวข้องกับผู้เรียนโดยเฉพาะ เพื่อการพัฒนาทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และคุณค่าทางสังคม อาทิ ผู้เรียนมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ ผู้เรียนมีความใฝ่รู้และเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ฯลฯ
ทั้งนี้การสร้างเยาวชนให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ไม่ยากเกินความพยายาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการบูรณาการเชื่อมโยงกับนโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงอายุ ผ่านกระบวนการเรียนที่มีคุณภาพซึ่งจะช่วยให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีชีวิตที่สมดุลทั้งความดี ความงาม ความมีสำนึกต่อส่วนรวม และความเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ สามารถปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคสารสนเทศของสังคมโลกได้อย่างเท่าทัน ซึ่งจะช่วยนำพาประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศแห่งนวัตกรรมระดับแนวหน้าได้ในอนาคต