“นวัตกรรมการดำนาน้ำน้อย” มธ.
ลดใช้น้ำ 3 เท่า-รับมือภัยแล้ง59
ยุคสมัยนี้เรามักได้ยินคำว่า “นวัตกรรม” ที่ต้องนำมาใช้ในการประกอบอาชีพ นับแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหรือรายใหญ่เพื่อให้แข่งขันได้ หรือรับมือกับปัญหาตามธรรมชาติได้ ซึ่งรวมถึงปัญหา “ภัยแล้ง” ที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ โดยการขาดแคลนน้ำในการเพาะปลูก ทำให้มีผลผลิตตกต่ำ กระทบรายได้ที่จะไปจับจ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค กระทบยอดขายตั้งแต่ผู้ประกอบการรายย่อย ไปจนถึงรายใหญ่ อย่างไรก็ดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.)ชู “นวัตกรรมการดำนาน้ำน้อย” ใช้น้ำลดลง 3 เท่าอาจมาช่วยรับมือภัยแล้งได้
เมื่อเร็ว ๆนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้จับมือ ปราชญ์ชาวบ้านด้านเกษตรปลูกข้าว เปิดตัว “นวัตกรรมการดำนาน้ำน้อย” นวัตกรรมการดำนำที่ใช้น้ำน้อยกว่าปกติถึง 3 เท่า แต่ได้ผลผลิตสูงสุด 6 ตันต่อไร่ โดยมีเป้าหมายเผยแพร่องค์ความรู้ดังกล่าวแก่เกษตรกรไทยรับมือน้ำแล้ง ปี 2559 ถือเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยเป็นอย่างมาก ช่วยลดต้นทุนในการผลิตและสร้างรายได้เพิ่ม ขณะเดียวกันก็เป็นอีกกลไกหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษาและการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.)เปิดเผยว่า ในปี 2559 ประเทศไทยมีแนวโน้มในการเข้าสูภาวะวิกฤติการณ์น้ำแล้ง ซึ่งจากข้อมูลของกรมชลประทาน พบว่า น้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนต่างๆ ลดระดับลง โดยปัจจุบันน้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ 33 แห่งทั่วประเทศ เหลือน้ำเพียง 43,384 ลูกบาศก์เมตร จากความจุ 70,370 ลูกบาศก์เมตร ในจำนวนนี้มีน้ำที่สามารถใช้ได้จริง 19,881 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวจะส่งผลต่อทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคครัวเรือน รวมถึงภาคการเกษตร โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่เป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศมีโอกาสได้รับผลกระทบสูง ดังนั้น ประเทศไทยต้องหาแนวทางในการรับมือปัญหาดังกล่าว
เพื่อป้องกันวิกฤติการณ์น้ำแล้ง ดังนั้น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะสถาบันการศึกษาชั้นนำของประเทศจึงมีแนวคิดในการพัฒนาองค์ความรู้ การวิจัย ฯลฯ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ค้นพบแนวทางนวัตกรรมการดำนำรูปแบบใหม่ที่ใช้ปริมาณน้ำในการปลูกเข้าที่น้อยกว่าวิธีปัจจุบันที่ใช้กันมายาวนาน โดยร่วมกับ ดร.เกริก มีมุ่งกิจ ปราชญ์ชาวบ้านด้านเกษตรปลูกข้าว พัฒนา “นวัตกรรมการดำนาน้ำน้อย” การดำนาแบบใหม่ให้สามารถรองรับและต่อสู้กับสภาวะภัยแล้งให้กับชาวนาได้อย่างยั่งยืน
ด้านผศ.ดร.จิตติ มงคลชัยอรัญญา คณบดีวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เปิดเผยว่า “นวัตกรรมการดำนาน้ำน้อย” ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอนหลัก ดังนี้คือ
1. ปรับปรุงดินให้สมบูรณ์ โดยการใช้ใบไม้แห้งและมูลสัตว์
2. ใช้ต้นกล้าข้าว ที่มีอายุ 15 วัน
3. ดำนา โดยมีระยะห่างต่อหลุม 50×50 ซม. เพื่อให้ข้าวแตกกอได้อย่างสะดวก
4. ไม่ใช้ระบบน้ำขัง แต่ปล่อยน้ำในบางช่วงตามความต้องการของพืช และให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอเสมือนการปลูกผัก
การปลูกข้าวด้วย “นวัตกรรมการดำนาน้ำน้อย” จะใช้น้ำเพียง 500 ลบ.ม.ต่อไร่ต่อฤดูกาล ซึ่งจะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงถึง 6 ตัน ขณะที่การปลูกข้าวโดยปกติที่จะปล่อยน้ำขังในนาข้าว จะใช้น้ำประมาณ 1,500 ลบ.ม.ต่อไร่ต่อฤดูกาล แต่จะได้ผลผลิตเพียง 1 ตัน ซึ่งหากเปรียบเทียบกันแล้วจะพบว่า การปลูกข้าวน้ำน้อยจะใช้น้ำน้อยกว่าปกติถึง 3 เท่า แต่ได้ผลผลิตมากกว่าถึง 6 เท่า อย่างไรก็ตาม ปริมาณการใช้น้ำและผลผลิตที่ได้ด้วยวิธีการดังกล่าว จะแปรผันตามสภาพแวดล้อมของพื้นที่นั้นๆ ด้วย
ทั้งนี้ ปัจจุบัน วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้สร้างศูนย์เรียนรู้ด้านอาหาร พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนที่สนใจ เข้ามาร่วมอบรมและเรียนรู้ด้านนวัตกรรมการเกษตรในรูปแบบต่างๆ อาทิ การทำไบโอแก๊ส (Biogas) การปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์
ในอนาคตคาดว่า จะเปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมอบรมในโครงการทำบ้านดิน การปลูกป่า ฯลฯ ซึ่งสอดรับกับปณิธานของ ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาชนบทที่เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศ
“มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งมั่นสู่การเป็นสถาบันการศึกษาเพื่อสังคมไทยผ่านการปลูกฝังจิตวิญญาณธรรมศาสตร์ต่อบุคลากรและนักศึกษาด้วยการยึดมั่นในความเป็นธรรมการมีจิตสาธารณะและการมีความรับผิดชอบต่อสังคมควบคู่ไปกับการสร้างบัณฑิตยุคใหม่ให้มีคุณสมบัติผู้นำแห่งศตวรรษที่ 21 สอดรับตามแนวคิด“มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์..มหาวิทยาลัยเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง”
ผู้สนใจติดต่อสอบถามรายเอียดเพิ่มเติมได้ที่ งานสื่อสารองค์กรมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โทร. 02-613-3030 หรือเว็บไซต์ www.tu.ac.th