ไทยประกันชีวิตปี 59 รุกหนัก
เป้าเบี้ยรับ1.7หมื่นล้านโต20%
ไทยประกันชีวิตเปิดแผนดำเนินธุรกิจ 2559 รุกตลาดทั้งในและนอกประเทศ มุ่งรุกตลาดทุกช่องทาง เป้าเบี้ยประกันรับปีแรก 17,300 ล้านบาท โต 20% จากตัวเลข 12,822 ล้านบาทในปี 2558 เป้าสัดส่วนช่องทางตัวแทนหรือ Agent โต 25% ส่วนช่องทาง Non Agent ด้าน Bancassurance และ Tele Marketing โต 6% พร้อมรุกขยายตลาด AEC โดยการเปิดสำนักงานผู้แทนในเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ และอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการขยายตลาดในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม
นายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2559 ว่า ธุรกิจประกันชีวิตในปีนี้ คาดการณ์ว่าจะสามารถเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 10% โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ กลุ่มเป้าหมายมีรายได้เพิ่มขึ้น จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ที่เริ่มออกมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 และการแข่งขันของธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งบริษัทประกันชีวิตจะมีการพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้สูงสุด อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญจากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งส่งผลต่อการขยายตลาดของสินค้าประเภทออมทรัพย์
สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ช่วง 11 เดือนของปี 2558 (มกราคม-พฤศจิกายน) มีเบี้ยประกันรับปีแรก 12,822 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 16% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของธุรกิจที่เติบโต 11% เบี้ยประกันชำระครั้งเดียว 2,780 ล้านบาท เบี้ยประกันรับปีต่อไป 44,478 ล้านบาท อัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ 83% เบี้ยประกันรับรวม 60,080 ล้านบาท โดยในช่องทางตัวแทน ซึ่งเป็นช่องทางการขายหลัก มีอัตราการขยายตัวของเบี้ยประกันรับปีแรก 8% สูงกว่าอัตราการเติบโตของธุรกิจ ขณะที่ช่องทางการขายผ่านธนาคาร หรือ Bancassurance เบี้ยประกันรับช่วง 12 เดือน เติบโตถึง 80%
ในปี 2559 บริษัทฯ กำหนดนโยบายรุกตลาดทุกช่องทาง โดยตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันรับปีแรก 17,300 ล้านบาท เติบโต 20% แบ่งเป็นช่องทางตัวแทนหรือ Agent 13,100 ล้านบาท เติบโต 25% ช่องทาง Non Agent ประกอบด้วย Bancassurance และ Tele Marketing 4,200 ล้านบาท เติบโต 6%
แนวทางการรุกตลาดทุกช่องทาง จะมุ่งพัฒนาแบบประกันให้สอดคล้องกับพัฒนาการของผู้บริโภคคนไทยที่มีความต้องการซับซ้อนมากขึ้น ในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงมองหาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ โดยบริษัทฯ จะพัฒนาทั้งในส่วนของแบบประกัน ช่องทางการขาย รวมถึงปรับกระบวนการในการทำงาน ให้ก้าวทันไปพร้อมกับ Mega Trend หรือแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงเชิงมหภาค ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การขยายตัวของสังคมเมือง และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากร
“ปัจจุบันทราบกันดีว่าไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ บริษัทจึงให้ความสำคัญพัฒนาสินค้า สำหรับเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยเกษียณ ได้แก่ สินค้าประเภทบำนาญ เพื่อสร้างหลักประกันรายได้ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในวัยเกษียณ และสินค้าประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง เพื่อเตรียมกองทุนค่ารักษาพยาบาล ขณะเดียวกันยังมีการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและกฏหมาย อาทิ ภาษีมรดก การค้ำประกันเงินฝาก บริษัทฯ ต้องเตรียมพร้อม เพื่อรองรับโอกาสทางการตลาดที่จะเกิดขึ้น โดยจะพัฒนาสินค้า Unit Linked เพื่อเป็นทางเลือกในการออมเงิน” นายไชยกล่าว
การปรับกระบวนการทำงาน บริษัทฯ ได้ปรับเกณฑ์การพิจารณารับประกันในแต่ละพื้นที่ตามความเสี่ยงจริง ทำให้สามารถขยายความคุ้มครองได้สูงขึ้น ในด้านการพิจารณาสินไหม จะดำเนินการอย่างรวดเร็ว โดยกรณีที่ไม่ต้องตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม สามารถพิจารณาแล้วเสร็จภายใน 1 วันทำการ นับจากวันที่เจ้าหน้าที่สินไหมรับเอกสารการเรียกร้องสินไหมครบถ้วน ส่วนกรณีที่ต้องตรวจสอบ บริษัทฯ จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ มุ่งพัฒนาตัวแทนสู่การเป็นนักวางแผนทางการเงิน หรือ Life Partner เป็นคู่คิดที่จะอยู่เคียงข้างผู้เอาประกันทุกคน โดย Life Partner จะต้องเป็นผู้รู้รอบ และรอบรู้ รวมถึงเป็นทั้งคนเก่งและคนดี ด้วยการสร้างความมั่นใจ ความไว้วางใจให้กับผู้เอาประกัน เสมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว รวมถึงสร้างประสบการณ์ที่ดี อันจะผลักดันให้ไทยประกันชีวิตสู่ความเป็น Iconic Brand
นายไชยกล่าวว่า บริษัทฯ ยังได้ดำเนินนโยบายเชิงรุกในการขยายตลาด AEC โดยการเปิดสำนักงานผู้แทนในเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ และอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการขยายตลาดในประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม รวมถึงสร้างแบรนด์ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่มากขึ้น