จ่าย3หมื่นเปิดเส้นทาง “เถ้าแก่”
ช้อป153ผลงานพร้อมลงหิ้งสู่ห้าง
หลังจากประสบความสำเร็จในการดำเนิน “โครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์” 2 ครั้งที่ผ่านมา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จับมือพันธมิตรกว่า 19 แห่ง เดินหน้านำ 153 เทคโนโลยีพร้อมลงจาก “หิ้งสู่ห้าง” พร้อมถ่ายทอดให้กับภาคเอกชน เปิดโอกาสผู้ประกอบการ SMEs และประชาชนที่สนใจเข้าชมในงาน Thailand Tech Show ครั้งที่ 3 ขึ้นระหว่างวันที่ 23 – 24 กุมภาพันธ์ 2559 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ดร.ณรงค์ ศิริเลิศวรกุล โฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มีการเติบโต เกิดความมั่งคั่ง อย่างมั่นคงและยั่งยืนโดยการผนึกกำลังทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนในนาม “ประชารัฐ” เพื่อสร้าง Common Ground ให้ ทุกคนมีที่ยืนร่วมกัน และ Common Goal สานฝันร่วมกันนั้น รัฐบาลได้มีการตั้งคณะกรรมการภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ การเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ควบคู่ไปกับการเติบโตอย่างมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วน
และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทีมภาครัฐของคณะทำงานด้านยกระดับนวัตกรรมและผลิตภาพ โดยมีคุณกานต์ ตระกูลฮุน จากบริษัท เอส ซี จี จำกัด (มหาชน) เป็นหัวหน้าทีมภาคเอกชน จากนโยบายและการตั้งคณะทำงานดังกล่าวเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าหากประเทศของเราจะก้าวผ่านจากประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนให้นวัตกรรมเป็น ตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ เน้นการพัฒนากำลังคนและเทคโนโลยี สนับสนุนให้เกิดการเพิ่มมูลค่าจากการต่อยอดและใช้ประโยชน์จากงานวิจัยและเทคโนโลยี
โครงการขับเคลื่อนผลงานวิจัยไปสู่เชิงพาณิชย์ หรือที่เรียกว่า “หิ้งสู่ห้าง” เป็นหนึ่งในโครงการที่แสดงให้เห็นถึงการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐคือ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย สวทช. หน่วยงานในสังกัดอื่นๆ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนคือ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมกันผลักดันให้เกิดโครงการนี้ขึ้นมาให้เอกชนสามารถเข้าถึงและนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้โดยง่าย ด้วยขั้นตอนการดำเนินการ ที่สั้น ลดเวลาในการเจรจา ด้วยค่าธรรมเนียมที่เท่ากันในทุกรายการ ซึ่งโครงการนี้ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2558 ปีนี้นับว่าเป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยทุกรอบของการเปิดตัวโครงการมีเทคโนโลยีที่เข้าร่วมมากขึ้นทุกครั้ง และในขณะเดียวกัน ก็มีเอกชนผู้สนใจเข้าร่วมงานที่เรียกว่า Thailand Technology Show มากขึ้นเช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงการผนึกกำลังกันที่แนบแน่นยิ่งขึ้น มองเห็นความสำคัญของการใช้นวัตกรรมเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่แท้จริง
นายเชิญพร เต็งอำนวย รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากการดำเนินกิจกรรมในโครงการฯ ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 เมื่อปี 2558 ที่ผ่านมาพบว่ามีเครือข่ายและพันธมิตรที่เป็นหน่วยงานวิจัยจากภาครัฐและมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศให้ความสนใจในการนำผลงานวิจัยและเทคโนโลยีเข้าร่วมโครงการฯ มากขึ้น ส่งผลให้มีเทคโนโลยีที่หลากหลายและจำนวนมากขึ้น ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมฯ ได้ให้ความสนใจและประสงค์ขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี มีจำนวนรายบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าจากครั้งที่ 1 (จาก 12 ราย เป็น 46 ราย) โดยให้ความสนใจเทคโนโลยีกลุ่มเภสัชภัณฑ์และเครื่องสำอางสูงที่สุด รองลงมา คือ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร
“ผลงานวิจัยและเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการภายใต้โครงการฯ เป็นผลงานวิจัยและเทคโนโลยี ทางด้านการเกษตรและทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีการใช้องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ใช้ทั้งในชีวิตประจำวันและการส่งออกต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาล ที่ต้องการสนับสนุนให้มีการลงทุนในปี 2559 ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร เนื่องจากเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก และมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจไทยในอนาคต เพื่อก้าวไปสู่การเป็นฐานผลิตใหม่ที่ใช้แรงงาน น้อยลง และเน้นการผลิตที่ใช้องค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร ยังถูกจัดให้เป็นอุตสาหกรรมดาวเด่นในปี 2559 ที่นักวิเคราะห์และสื่อหลายสำนักได้คาดการณ์ว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
ดร.เดช เฉิดสุวรรณรักษ์ กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้กำหนดให้ “การวิจัยและพัฒนา” เป็นประเด็นสำคัญภายใต้ กรอบภารกิจด้านการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ และในโอกาสที่ สวทช. ได้จัดโครงการ ขับเคลื่อนผลงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์นับเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ SMEs จะได้เรียนรู้ถึงผลงานวิจัยที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เชิงพาณิชย์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการและยังสามารถต่อยอดโครงการคูปองนวัตกรรมที่ภาครัฐได้ให้การสนับสนุนในปัจจุบัน ซึ่งในส่วนของหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้จัดทำโครงการที่สำคัญๆ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับสมาชิก อาทิ โครงการคูปองนวัตกรรม โดยเข้าร่วมดำเนินโครงการกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สร้างผู้ประกอบการใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม หรือ IDE (Innovation Driven Enterprise) โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเป็นผู้นำและเป็นสื่อกลางในการประสานและวาง IDE Platform โดยการเชื่อมโยง 5 ภาคส่วน ได้แก่ ภาคการศึกษา ภาครัฐ ภาคธุรกิจ กลุ่มผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่และภาคธุรกิจกลุ่มทุนทางการเงินเพื่อสร้างระบบนิเวศของผู้ประกอบการ (IDE Ecosystem) ให้เกิดขึ้น เป็นต้น
“หอการค้าไทย ได้จัดตั้ง Thailand SMEs Center by Thai Chamber of Commerce เป็นหน่วยงานรองรับการ ส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับสมาชิก โดยเฉพาะด้านนวัตกรรมและการนำเอางานวิจัยนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์เพื่อเพิ่มมูลค่าและช่องทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น ประกอบด้วยการให้บริการคำปรึกษาธุรกิจ การบริหารจัดการองค์ความรู้ธุรกิจ รวมถึงการอำนวยความสะดวกและแก้ไขอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนั้นยังเป็นการ บูรณาการเครือข่ายหน่วยงานที่ให้การส่งเสริม SMEs แบบครบวงจร เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถพัฒนากิจการให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลต่อความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจไทยในอนาคต”
ดร.ณรงค์ ยังกล่าวด้วยว่า โครงการฯ นี้ถือเป็นแหล่งรวมงานวิจัยที่ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงได้ในจุดเดียวอย่างแท้จริง โดยการจัดงานในครั้งที่ 2 ที่ผ่านมามีภาคเอกชนทั้งหมดตอบรับและให้ความสนใจจองเทคโนโลยีถึง 72 เทคโนโลยี จากทั้งหมด 82 เทคโนโลยี จาก 9 หน่วยงานพันธมิตร มีผู้ลงนามในสัญญาขอรับถ่ายทอดเทคโนโลยีเรียบร้อยแล้ว 2 ราย และอยู่ในขั้นตอนการเจรจา และรอลงนามอีก 28 ราย อยู่ในกระบวนการหารืออีกกว่า 120 ราย
โครงการฯ ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ สวทช. ยังคงได้รับเกียรติจากสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาร่วมเป็นพันธมิตรมากขึ้นถึง 19 หน่วยงาน รวมผลงาน 153 เทคโนโลยี ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม เกษตรและประมง เภสัชภัณฑ์และเครื่องสำอาง เครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ วัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น โดยผลงานทั้งหมดจะนำมาจัดแสดงในงาน Thailand Tech Show วันที่ 23-24 กุมภาพันธ์ 2559 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งหวังว่าภาคเอกชนจะให้ความสนใจเข้าร่วมงานมากขึ้น จึงอยากขอเชิญชวนผู้ประกอบการที่สนใจมารับฟังข้อมูล สัมผัสกับผลงานวิจัยด้วยตัวท่านเอง โดยจะมีเจ้าของผลงานมาคอยให้ข้อมูลเพิ่มเติมตลอดการจัดงาน นอกจากนี้ เรายังได้เปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการในภูมิภาคต่างๆ ด้วย โดยมีแผนที่จะจัดงาน Thailand Tech Show ขึ้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.ขอนแก่น และ จ.สงขลา ในช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2559 นี้ด้วย
สำหรับเงื่อนไขของโครงการฯ ยังคงเดิมคือ เมื่อผู้สนใจทำสัญญาถ่ายทอดเทคโนโลยีในโครงการแล้ว ชำระเพียงค่าธรรมเนียม 30,000บาท และ Royalty Fee 2% ของยอดขาย โดยสามารถนำค่าธรรมเนียมที่ชำระไปแล้วมาหักออกจาก Royalty Fee ได้เต็มจำนวน
ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดโครงการ ข้อมูลเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะนำมาแสดงในงานThailand Tech Show รวมถึงข้อมูลในการขอรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.thailandtechshow.com หรือโทรศัพท์ 0-2564-8000