ก.วิทย์ดึงเทคโนฯพัฒนาพันธุ์กุ้ง
มุ่งผงาดเจ้าตลาดในอนาคต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง (ศวพก.)จ.สุราษร์ธานี หนุนใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง ปูทางไทยผู้นำตลาดกุ้งกุลาดำในอนาคต ซึ่งทั่วโลกต้องการ350,000 – 400,000 ตันต่อปี จี้เร่งถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาสายพันธุ์กุ้งให้กับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ พร้อมกับดึงเกษตรกรในพื้นที่ให้มามีส่วนร่วม
ดร.วรวรงค์ รักเรืองเดช รองโฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวว่า จากการตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของศูนย์วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง (ศวพก.) ที่ จ.สุราษร์ธานี ของ ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้ทราบว่า ตลาดกุ้งกุลาดำทั่วโลกมีความต้องการปีละประมาณ 350,000 – 400,000 ตัน ปัจจุบันมีผู้เลี้ยงกุ้งกุลาดำในบ่อประมาณ 20,000 บ่อ ผลิตได้ปีละ 2 รอบการผลิตที่ 21,000 ตัน ใช้ลูกกุ้งรอบละ 525 ล้านตัว ซึ่งผู้นำเข้ากุ้งกุลาดำสนใจซื้อกุ้งกุลาดำไทยเพิ่มขึ้น แต่ด้วยภาวะปัจจุบันประเทศคู่แข่งล้วนต่างประสบปัญหาด้านการผลิต ซึ่งการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาสายพันธุ์กุ้ง ทำให้ประเทศไทยมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดกุ้งกุลาดำในอนาคตได้
รองโฆษกกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวว่า ศวพก. เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เพื่อเก็บรักษา วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์กุ้งกุลาดำและสายพันธุ์อื่นที่เป็นกุ้งเศรษฐกิจและกุ้งพื้นเมืองเดิมในประเทศไทย ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการผลิตพ่อแม่พันธุ์ปลอดโรคจากรุ่นสู่รุ่น โดยเน้นพัฒนาพันธุ์ที่เน้นน้ำหนักตัวที่อายุ 5 เดือนซึ่งเป็นอายุที่จับขาย จนถึงปัจจุบันพัฒนาสายพันธุ์ได้ถึงรุ่นที่ 7 มีน้ำหนักตัวเฉลี่ยเมื่ออายุ 5 เดือน 26 กรัมต่อตัว จากรุ่นสู่รุ่นได้พัฒนากุ้งที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ โดยพบว่ากุ้งรุ่นที่ 6 มีน้ำหนักเฉลี่ยมากกว่ารุ่นที่ 5 ประมาณร้อยละ 30 จนถึงปัจจุบัน ศวพก. ได้ส่งลูกกุ้งให้เกษตรกรแล้ว 90 ล้านตัว และส่งพ่อแม่พันธุ์ให้เอกชน 3,500 ตัว อีกทั้งยังส่งกุ้งวัยรุ่นและลูกกุ้งให้ศูนย์เพิ่มจำนวนพ่อแม่พันธุ์กุ้ง 15,000 และ 900,000 ตัวตามลำดับ สร้างมูลค่าประมาณ 24 ล้านบาท
ดร.วรวรงค์ กล่าวต่อว่า รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ให้ความสนใจในองค์ความรู้ที่สะสมมาตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี โดยใช้เวลาพูดคุยและซักถามกับนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยตลอดการเยี่ยมชม ศวพก. อย่างละเอียด ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเพาะเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ในอาคารที่ควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ ณ 28 องศาเซลเซียส การผสมเทียมกุ้งพ่อแม่พันธุ์ การเพาะฟักไข่กุ้ง การดูแลลูกกุ้งและกุ้งวัยรุ่น ตลอดจนวิธีการวัดน้ำหนักกุ้งในบ่อปลอดเชื้อถึง 20,000 ตัว รวมถึงการควบคุมโภชนาการ เทคนิคการเลี้ยงและวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ครอบครัวกุ้งรุ่นต่อไปตามแผนการผสมพันธุ์
“ท่านรัฐมนตรีฯ ยังให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาที่ยั่งยืน โดยขอให้ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สวทช. เร่งถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาสายพันธุ์กุ้งให้กับมหาวิทยาลัยในพื้นที่ พร้อมกับดึงเกษตรกรในพื้นที่ให้มามีส่วนร่วม เพราะศวพก. มีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมในการสร้างองค์ความรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืน” รองโฆษก วท. กล่าว