“พลัส พร็อพเพอร์ตี้” 58 โต 31%
59 พาลูกค้าลงทุนอสังหาฯตปท.
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยปี2558 มีรายได้รวม 965 ล้านบาท เติบโต 31% ปี 2559 เน้นขยายธุรกิจในตลาดที่เชี่ยวชาญ มองตลาดอสังหาริมทรัพย์โตเล็กน้อยจากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวในระดับต่ำ ส่วนปัจจัยเสี่ยงยังพบปัญหาหนี้ครัวเรือน ภัยแล้ง และราคาที่ดินที่สูงขึ้น แต่ไม่กระทบกำลังซื้อผู้บริโภคระดับบนที่ยังดีอยู่ ล่าสุดพบเริ่มขยับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศที่ให้ผลตอบแทนดี เช่น นิวยอร์กและลอนดอน
นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ปี 2558 ที่ผ่านมา มีผลการดำเนินงานที่ยังเติบโตได้ดี เป็นปีที่ประสบความสำเร็จสูง เนื่องจากบริษัทโฟกัสในตลาดที่มีความเชี่ยวชาญ ตลอดจนบริหารรายได้อย่างสมดุลระหว่างธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (ตัวแทนซื้อ-ขาย-เช่าอสังหาฯ) และบริหารงานขายโครงการ และธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยและเพื่อการพาณิชย์ โดยภาพรวมแล้วรายได้หลักในปี 2558 มาจากการปิดการขายโครงการระดับไฮเอนด์ของแสนสิริ 4 โครงการ (เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า, เดอะไลน์ จตุจักร-หมอชิต, เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 71, เดอะ ไลน์ ราชเทวี) มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 12,000 ล้านบาท
ส่วนการขายโครงการอื่นๆ นั้น มีมูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ประกอบกับปี 2558 ที่ผ่านมามีคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จเข้ามาในตลาดเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทฯ เองมีโอกาสในการรับงานบริหารฯ เพื่อการพักอาศัยมากขึ้น และส่วนใหญ่เป็นโครงการระดับบน ทั้งนี้ในปี 2558 บริษัทมีรายได้รวม 965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% จากปี 2557 มาจากธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (ตัวแทนซื้อ-ขาย-เช่าอสังหาฯ) 45% และอีก 55% เป็นรายได้จากธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยและเพื่อการพาณิชย์ ปัจจุบันมีโครงการที่บริหารทั้งสิ้น 185 โครงการ (จาก 161 โครงการเมื่อปี 2557)
ส่วนทางด้านรีเซล ในปี 2558 สามารถปิดการขายได้โดยมีมูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตามพบว่าโครงการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น 3 อันดับแรก คือ ไพน์ บาย แสนสิริ ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 265,000 บาทต่อตารางเมตรหรือเพิ่มขึ้นถึง 80% ถัดมาคือ สิริ แอท สุขุมวิท เฉลี่ยที่ 167,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 57% และอันดับสามคือ ควอทโทร ราคาเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 212,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้นถึง 43%
“สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2559 นี้ ยังคงให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจในตลาดที่เชี่ยวชาญอยู่แล้ว โดยนำเอาจุดแข็งในความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการ รวมถึงมีความเข้าใจในวัฒนธรรมของคนไทยจึงทำให้สามารถบริหารจัดการได้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดี ตลอดจนเน้นการให้ข้อมูลและการวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ ผ่านช่องทางต่างๆ มากขึ้น และที่สำคัญลูกค้าเองได้ให้ความสนใจเรื่องการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกโดยเฉพาะช่วงตลาดหุ้นผันผวนและผลตอบแทนจากตราสารหนี้อยู่ในระดับต่ำ จึงได้มีการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นเงินสกุลหลักของโลก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ เงินปอนด์อังกฤษ ซึ่งพลัส พร็อพเพอร์ตี้ และ Global Partnership ที่นิวยอร์ก คือ Corcoran Group Real Estate และลอนดอนคือ W H Baker ได้ผสานความร่วมมือในการนำลูกค้าและนักลงทุนไทยไปลงทุนดังกล่าว ตลอดจนเป็นการขยายโอกาสในการซื้อขาย ปล่อยเช่า ไปยังลูกค้าต่างชาติในตลาดนิวยอร์กและลอนดอน โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นคนไทยที่ทำงาน หรือส่งลูกไปศึกษาต่อในประเทศ”
ส่วนภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2559 คาดว่าช่วงครึ่งแรกของปียังคงได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังส่งผลต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่อยู่รอบนอกกรุงเทพฯ อีกทั้งมีอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำยังเป็นปัจจัยหนุน อีกทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่อาจเริ่มทยอยประมูลและก่อสร้าง โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ภาครัฐผลักดันให้เกิดการก่อสร้างหลายเส้นทาง เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้ม (ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี) รถไฟฟ้าสายสีชมพู (ช่วงแคราย-มีนบุรี) รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ (ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ช่วงลาดพร้าว-สำโรง) เป็นต้น ซึ่งเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียงกับเส้นทางรถไฟฟ้าอาจมีแนวโน้มเติบโตได้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการเปิด AEC ที่จะส่งผลให้ตลาดเช่าของหัวเมืองใหญ่เติบโตได้ดี
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดอสังหาฯ จะมาจากหนี้ครัวเรือน ภาวะภัยแล้ง รวมถึงภาวะเศรษฐกิจของประเทศและของโลกที่ต้องระมัดระวัง รวมถึงการประเมินราคาที่ดินรอบใหม่ในปี 2559-2562 อาจส่งผลให้ต้นทุนที่อยู่อาศัยสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
“ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2559 ยังคงต้องดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงเข้ามา แต่ก็มีปัจจัยบวกหลายด้านทั้งจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ นอกจากนี้ในส่วนของกำลังซื้อผู้บริโภคนั้นพบว่าภาพรวมยังพอไปได้ไม่ได้หวือหวา แต่กำลังซื้อในกลุ่มผู้บริโภคระดับบนยังเติบโตดี โดยจะเห็นได้จากการเปิดตัวของโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับบนที่สามารถขายได้ดี นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนบางส่วนที่เริ่มมองหาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไปยังประเทศอื่นๆ เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของได้ 100% แตกต่างจากเมืองไทยที่กฎหมายยังไม่เปิดช่องให้มากขนาดนั้น เช่นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่นิวยอร์ก และลอนดอน เพราะราคาอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศโดยเฉพาะนิวยอร์กราคาปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นายภูมิภักดิ์ กล่าวในตอนท้าย