SME Corner..ธุรกิจเพื่อสังคม
“บ้านดินอาข่าโฮมสเตย์”
พบกับคอลัมน์ใหม่กันอีกครั้งกับ “SME Corner” by ..คุณ มันนี่ เพื่อนำเสนอข่าวคราวการทำธุรกิจที่น่าสนใจแบบเปิดกว้าง ตั้งแต่เถ้าแก่ใหม่, OTOP , Startup และผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ เพื่อเผยแพร่โมเดลธุรกิจที่สร้างสรรค์และประสบความสำเร็จและเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ประกอบการ ผู้ไฝ่ฝันที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจโดยทั่วไป ประเดิมกันที่ “โครงการการบ้านดินอาข่าโฮมสเตย์” แห่งดอยแม่สลอง จ.เชียงราย ธุรกิจเพื่อสังคม ที่คืนกำไรพัฒนาชุมชนถิ่นเกิดของตนไปด้วยกัน
“บ้านดินอาข่าโฮมสเตย์” เป็นธุรกิจสร้างสรรค์ของ “โยฮัน” หรือ ประกาศิต เชอมือกู่ นักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ตั้งอยู่ในหมู่บ้านหล่อโย ต.ป่าตึง เขตแม่สะลอง อ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีชาวเผ่าอาข่าอาศัยอยู่ราว 65 ครัวเรือน รวมกว่า 3,000 ชีวิต โยฮันริเริ่มธุรกิจนี้มาประมาณ 8 ปีเศษก่อนเข้าสู่โครงการสนับสนุนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) ได้ประมาณ7 เดือน
สิ่งที่โยฮันมีอยู่ในขณะนี้ เป็นบ้านพักขนาด 2 ชั้น 8 ห้อง 1 หลัง เปิดบริการมาประมาณ 2-3 ปี ค่าที่พัก1,500 บาทต่อคืนสำหรับห้องข้างล่าง ส่วนข้างบนเป็นห้องรวม 700 บาทต่อคืน
นักท่องเที่ยวที่สนใจมาพัก มีทั้งชาวไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว ที่ถือเป็นช่วงไฮซีซันจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ มีนักท่องเที่ยวเข้าพักประมาณ 3-4 พันคนต่อเดือน โดยส่วนใหญ่พักอยู่ 3 วัน 2 คืน
โยฮันบอกเล่าอย่างภูมิใจว่า แขกที่มาพักที่บ้านดินของเขาจะได้สัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในชุมชน ได้สูดอากาศธรรมชาติ ลิ้มรสอาหารในท้องถิ่น พร้อมกิจกรรมเดินป่า เก็บผลไม้ป่า หาหนอนไม้ไผ่ จับปลาด้วยมือเปล่า ช้อปปิ้งสินค้าหัตถกรรมของชาวบ้านที่นำผลิตภัณฑ์ของตนออกมาเสนอขายด้วยตนเอง ช่วยเพิ่มรายได้แก่ครอบครัวได้อีกทางหนึ่ง
หากจะเปรียบ “โยฮัน” เสมือนเมล็ดพันธุ์ที่ดีของหมู่บ้านหล่อโยก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่พร้อมเติบโตเป็นต้นกล้าที่แข็งแรง และยังเป็นความโชคดีของชุมชนที่มีลูกหลานที่มีสำนึกรักบ้านเกิด นำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนกลับมาช่วยพัฒนาชุมชนบ้านเกิดให้ดีขึ้น
ทั้งนี้โยฮันใฝ่ศึกษาวิชาด้านการเกษตร โดยหลังจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 บนดอย เขาได้มุ่งหน้าไปศึกษาต่อระดับปวช.ที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเชียงราย สาขาพืช หลังจากนั้นได้สอบเข้าโครงการร่วมรัฐบาลไทย-อิสราเอล ซึ่งมีการพิจารณาจากหลายด้าน ทั้งผลการเรียน ความประพฤติ ต้องสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ ในปี 2005
แต่ในที่สุดเขาก็ได้ไปศึกษาที่อิสราเอลสมความตั้งใจ โดยศึกษาต่อวุฒิอนุปริญญาทางด้านพืชต่อเป็นเวลา 2 ปี แม้จะเป็นระยะเวลาไม่นาน แต่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีค่ายิ่งสำหรับโยฮัน
โดยเฉพาะช่วยให้เขาได้รับประสบการณ์จากประเทศเกษตรกรรมที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงของอิสราเอล แม้สภาพอากาศแห้งแล้งเป็นทะเลทรายแต่สามารถเพาะปลูกพืชผลได้อย่างน่าทึ่ง
“อิสราเอลสามารถทำให้พืชออกผลผลิตตลอดทั้งปีได้ เช่น ฝรั่ง มะขือเทศ แตงโม หรือดอกไม้ หรือสามารถปลูกพริกหวานได้ผลใหญ่ขนาด 4 ผลต่อกิโลกรัม และยังได้ภาษาเป็นผลพลอยได้อีกด้วย เพราะที่อิสราเอลใช้ ภาษาลาว ฮิบรูและอังกฤษ”
หลังจากกลับมาแล้วในปี 2007 โยฮันยังไปศึกษาต่อด้านท่องเที่ยวที่มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงรายเพิ่มเติมอีก เป็นหลักสูตรระยะสั้น จนได้บัตรมัคคุเทศน์สีบรอนซ์เงินมาใช้สำหรับประกอบอาชีพไกด์อิสระ ซึ่งทำให้รู้จักผู้คนกว้างขวางขึ้นในแวดวงท่องเที่ยวในท้องถิ่น
ในเวลาเดียวกันเขายังมีแนวคิดอยากทำอะไรที่ต่างจากคนอื่นและใช้สิ่งที่มีอยู่มาทำให้เกิดรายได้ เพราะเล็งเห็นว่า นักท่องเที่ยวในปัจจุบันมองหาสิ่งที่เป็นธรรมชาติกันเพิ่มขึ้น จึงได้เริ่มสร้างบ้านดินในที่ดินของครอบครัว ควบคู่กับพิพิธภัณฑ์ เพื่อใช้แสดงของสะสมเก่าแก่ของชนเผ่าอาข่า เช่น เครื่องมือทำการเกษตรของท้องถิ่น เป็นต้น โดยใช้ทุนของตัวเอง ซึ่งทำต่อเนื่องมาหลายปี แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จนัก
โยฮันเปิดเผยว่า ในการทำธุรกิจ เขาได้เป็นหุ้นส่วนหรือพาร์ทเนอร์ร่วมกับบริษัทโลโค่ อะไลค์ ทำธุรกิจท่องเที่ยวเพื่อสังคม หรือ ที่เรียกว่า Social Enterprise ทำงานร่วมกัน โดยมีส่วนของไกด์นำเที่ยว บริการรถเดินทางท่องเที่ยวและส่วนของที่พัก ซึ่งโยฮันจะมีรายได้จากส่วนของที่พัก
ต่อมาทางโลโค่ได้ติดต่อประสานทาง SME Bank เพื่อให้บ้านดินอาข่าโฮมสเตย์ได้เข้าโครงการพัฒนาผู้ประกอบการและร่วมลงนามความร่วมมือกับธนาคารฯ พร้อมได้รับการอนุมัติสินเชื่อให้ก้อนหนึ่งเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตต่อไป
“อยากขยายห้องพักเพิ่ม ขยายครัว และทำพิพิธภัณฑ์ให้เสร็จ แต่ไม่ได้ตั้งเป้าสูง เพียงขอให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่ม มีรายได้มาใช้ในครอบครัว” โยฮันกล่าว
โยฮันยังเปิดเผยด้วยว่า ความร่วมมือของธุรกิจโฮมสเตย์บ้านดินกับโลโค่มีการกลับคืนสู่สังคมชุมชนในท้องถิ่นด้วย นั่นคือ ร่วมกันนำรายได้ 5%+5% ให้แก่ชุมชน
สิ่งที่พวกเขาทำให้แก่ชุมชน ไม่ได้เป็นการนำเงินไปแจกจ่าย แต่อยู่ในรูปของสิ่งต่อไปนี้คือ
-การสร้างสนามกีฬาให้แก่เด็กๆ ส่งเสริมกิจกรรมกีฬาเด็กๆและเยาวชน
-การทำระบบน้ำ เพื่อให้ชุมชนได้มีน้ำใช้สมบูรณ์
-สร้างถนน ปรับปรุงถนนให้ชุมชน
-สนับสนุนโบสถ์ ซื้อโปรเจคเตอร์ใช้ในกิจกรรม
-มีกิจกรรมส่งเสริมอาชีพแก่ชาวบ้านในชุมชน
-ทำโครงการสอนชาวบ้านแยกขยะ ซึ่งสามารถนำขายสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง
ถือเป็นผู้ประกอบการที่เป็นแบบอย่างที่ดีทีเดียว
ซึ่งโยฮันได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า อยากฝากบอกว่า ใครที่สนใจท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ เรียนรู้วิถีชีวิตของคนในชุมชน เชิญชวนมาเที่ยวที่ โครงการการบ้านดินอาข่าโฮมสเตย์ จะได้สัมผัสความสนุกสนานท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ เช่น เดินป่า ทำอาหารในกระบอกไม้ไผ่ หรือจับปลามือเปล่า และธุรกิจมีปัญหาปรึกษากับทางธนาคารที่พร้อมให้การช่วยเหลือกับเอสเอ็มอีอยู่แล้ว
เข้าชมได้ที่เวบไซต์หรือเฟซบุ๊ค www.facebook.com/akhamudhouse/
ขอบคุณภาพบางส่วนจากเฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/akhamudhouse/