“ลลิล” เปิดกำไรQ1โต125%
เล็งQ2เปิดเพิ่ม 4 โครงการ
บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2559 เติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง มียอดรับรู้รายได้ที่ 582.0 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 63% กำไรสุทธิแตะระดับ 103.3 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 125% มั่นใจผลงานทั้งปีทะลุเป้าที่ 2.4 พันล้านบาท หรือเติบโต 15% เนื่องจากไตรมาสแรกมียอดขายรอรับรู้รายได้ในมือเกือบพันล้านบาท หลังทยอยเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง คาดไตรมาส 2-3/2559 เปิดเพิ่มอีก 4 โครงการ รวมทั้งปีกว่า 8 โครงการ มูลค่า 4พันล้านบาท
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า แม้ว่าภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ในช่วงต้นปี 2559 จะฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่นัก แต่ก็เป็นไปตามที่บริษัทได้คาดการณ์ไว้แล้วล่วงหน้า โดยบริษัทได้มีการวางแผนและดำเนินกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จึงทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของตัวเลขรับรู้รายได้ที่ในไตรมาสแรกเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 63% มาอยู่ที่ระดับ 582.0 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทมีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี ทั้งต้นทุนการก่อสร้าง ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ตลอดจนค่าใช้จ่ายทางด้านการเงิน ส่งผลให้กำไรสุทธิในไตรมาสแรก 2559 เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 125% มาอยู่ที่ระดับ 103.3 ล้านบาท
ขณะที่ยอดขายใหม่ในไตรมาสแรกนี้บริษัทสามารถทำยอดขายได้กว่า 1,000 ล้านบาท ส่งผลให้มียอดขายรอรับรู้รายได้ในมือ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 950 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้ทั้งหมด จึงทำให้มีความมั่นใจว่า บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีที่ 2,400 ล้านบาท หรือเติบโต 15%
สำหรับการขยายธุรกิจในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัททยอยเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 3โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2559 เป็นต้นไป นอกจากนี้บริษัทเตรียมที่จะเปิดโครงการใหม่อีก 4 โครงการในไตรมาส 2-3/2559 และมั่นใจว่าทั้งปีนี้บริษัทจะสามารถเปิดโครงการใหม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท เพื่อรองรับให้บริษัทมีการขยายตัวอย่างมั่นคงต่อไป
“ด้วยแผนงานที่รัดกุม และสอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้บริษัทมีการเติบโตที่ดีมั่นคงมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลงานในไตรมาสแรกของปีนี้ ที่เติบโตดีขึ้นอย่างมาก ขณะที่ไตรมาสที่สอง บริษัทมีแผนงานที่ดีมารองรับแล้ว จึงมั่นใจว่าจะขยายตัวได้เช่นเดียวกัน และทั้งปีเราจะมียอดรับรู้ได้รายได้แตะ 2,400 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้” นายไชยยันต์กล่าว
นายไชยยันต์ กล่าวว่า บริษัทยังคงรักษาความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่ดีมาอย่างยาวนานมากกว่าสิบปี โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2559 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่เพียงแค่ 0.70 เท่า ต่ำกว่าอุตสาหกรรมซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่เกือบ 1.5 เท่า ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากโดยไม่มีปัญหาของแหล่งเงินทุน รวมถึงความสามารถทางด้านการจ่ายเงินปันผลที่แข็งแกร่งของบริษัท ซึ่งสอดรับกับนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัท มีความต้องการให้ผู้ถือหุ้นของบริษัททุกท่านได้รับผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอ จึงเห็นว่าบริษัทบริหารงานมีกำไรและจ่ายปันผลต่อเนื่องมาทุกปีแล้วกว่า 14 ปี นับตั้งแต่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
สำหรับการจ่ายเงินปันผล (Dividend Yield) รอบการดำเนินงานประจำปี 2558 ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติให้มีการจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานประจำปี2558 ให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.225 บาท ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ประมาณ 6% โดยที่ผ่านมาบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.09 บาท และได้จ่ายเพิ่มอีก 0.135บาทต่อหุ้น สำหรับผลประกอบการในครึ่งปีหลัง ซึ่งได้จ่ายปันผลไปเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา